ครั้นเวลาสามยามเศษ พระองค์จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวก (มัทธิว 14:25)
ความเชื่อคือความสามารถที่จะวางใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น จอห์น เชดด์ กล่าวว่า “เรือจอดอยู่ที่ท่านั้นปลอดภัย แต่ไม่ใช่สิ่งที่เรือถูกสร้างมา” ความเชื่อคือพร้อมจะออกไปเสี่ยง อ้าแขนรับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น และก้าวเท้าออกจากชายฝั่งที่ปลอดภัย
บ่อยครั้งเรากลัวผลที่จะเกิดขึ้น และไม่เข้าใจก้าวย่างที่พระเจ้าขอให้เราก้าวเดินไป… เพราะเรากลัวความล้มเหลว
เราเป็นห่วง “ชื่อเสียง” ของเราในฐานะคริสเตียนมากกว่าจะเชื่อฟังพระเจ้า ตราบใดที่ศัตรูทำให้เราหมกมุ่นอยู่กับมุมมองของตัวเอง ความเชื่อของเราก็ไร้ผล
ความเชื่อที่จริงจังที่สุดก่อให้เกิดการกระทำ แต่ความเชื่อจะถูกขวางไว้เว้นเสียแต่เรายอมละตัวตนมาวางไว้ที่ความเชื่อ
รู้หรือไม่ ละมั่งอัฟริกันสามารถกระโดดสูงได้กว่าสิบฟุต และไปได้ไกลว่าสามสิบฟุต? แต่สัตว์ที่มหัศจรรย์นี้กลับถูกขังไว้ในกรงสามคูณสามฟุตในสวนสัตว์ สัตว์พวกนี้จะไม่กระโดดเพราะพวกมันมองไม่เห็นว่าขาของมันจะไปลงที่ตรงไหน ทำให้ฉันเข้าใจได้
หลายคนกล่าวว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า เชื่อว่าพระองค์เป็นอย่างที่พระองค์ตรัส นั่นคือพระองค์สามารถทำในสิ่งที่ตรัสว่าจะทำ แต่ถ้าพลาดไปจากจุดที่เชื่อว่าพระเจ้าจะทำการของพระองค์ผ่านชีวิตพวกเรา ถ้าไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะรักษาพระสัญญาได้ เราก็ไม่ได้เดินอยู่ในความเชื่อ
โอ เราเชื่อว่ามันง่ายที่จะเห็นด้วยกับความจริงนี้ เรากำลังปรนนิบัติพระเจ้าผู้ทรงฤทธิที่รักเราและมีแผนการยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตเรา ความเป็นจริงคือความเชื่อจะไม่มีความหมายเลยจนกว่าจะหยั่งลงลึกในจิตใจเราและเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินชีวิตของเรา
ถ้าเราไม่อาจดำเนินตามนั้นได้ เราก็ยังไม่ได้มีความเชื่อที่แท้จริง ถ้าเราไม่กล้าก้าวออกไปในความเชื่อ เราก็จะพลาดสิ่งมากมายที่พระเจ้าเตรียมให้ในชีวิตเรา
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ วิล โรเจอร์ส ที่ไปพบเพื่อนของเขา เอ็ดดี้ แคนเทอร์ เพื่อขอคำแนะนำ วิลต้องการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่สำคัญในการแสดงของเขา แต่วิตกว่าอาจเกิดอันตรายถ้าทำแบบนั้น เขาไม่แน่ใจว่าควรทำแบบนั้นหรือเปล่า คำตอบของเอ็ดดี้คือ “ทำไมไม่ออกไปที่กิ่งล่ะ? เพราะเป็นที่ๆผลไม้ติดอยู่” ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับความเชื่อ
ความเชื่อคือเชื่อว่าพระเจ้าทำได้ ต้องการ และพร้อมที่จะทำให้แผนการอันมหัศจรรย์ของพระองค์สำเร็จลงในเรา ชีวิตของพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งที่เห็นได้ถึงพระประสงค์ที่พระเจ้าต้องการทำการในชีวิตเรา
พวกสาวกได้เห็นเป็นพยานกับตาถึงความตั้งพระทัยที่พระเจ้าต้องการช่วยลูกๆของพระองค์ และในมัทธิว 14 เราพบว่าพวกเขาอยู่ในเรือที่กำลังเผชิญพายุรุนแรง – กลัวแต่ก็ยังสงสัยว่าพระเจ้าจะช่วยพวกเขาหรือ
เขาร้องออกมาด้วยความกลัวหรือ? แน่นอน !
แล้วพระองค์เสด็จมามั้ย? แน่นอน!
พระเยซูเสด็จมาหาพวกสาวก ดำเนินมาบนน้ำ ระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้า ช่วงที่มืดมิดที่สุด ฉันเคยนึกอยากจะอยู่บนเรือลำนั้นด้วยกับพวกสาวก รอให้พระเยซูเสด็จมา จินตนาการถึงคำถาม และเสียงบ่นที่ปลิวว่อนอยู่รอบๆตัว
“ทำไมพระเยซูถึงส่งเรามาที่นี่ ทั้งๆที่ทรงทราบว่าคลื่นจะสูงมาก?”
“พระองค์อยู่ที่ไหน? ทำไมถึงปล่อยให้รอนานขนาดนี้กว่าจะเสด็จมาช่วยเรา?”
“ทำไมไม่ทรงห้ามพายุเหมือนกับที่ทรงเคยทำ?”
“ทำไมล่ะ ฉันทำงานรับใช้อย่างดีมาตลอด และนี่หรือคือบำเหน็จของฉัน?”
“พระองค์จะมาจริงๆหรือ? ฉันไม่เข้าใจเลย!”
ฟังดูคุ้นมั้ยคะ? สำหรับฉันมันคุ้นมาก
เรารีบที่จะเชื่อคำมุสาว่าพระเจ้าโกรธเคืองเรา และจะไม่อวยพระพรเราหรือตอบสนองตามความต้องการของเรา ความจริงคือพระเจ้าพร้อมและตั้งพระทัยเทพระพรลงมาสู่ชีวิตที่มีความเชื่อ หนังสือฮีบรูบอกเราว่าความเชื่อจะถวายเกียรติแด่พระเจ้า และพระเจ้าจะให้เกียรติแก่ความเชื่อเสมอ
แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์ (ฮีบรู 11:6)
ฉันคิดว่าส่วนหนึ่งของปัญหาคือเราไม่รู้จะนิยามคำว่า “พระพร” อย่างไร พระพรไม่ได้ง่ายเสมอไป ไม่เจ็บปวด สะดวกสบาย หรือ คาดเดาได้ พระพรมักจะห่อหุ้มมาในความลึกลับที่คาดเดาไม่ถูก
ฉันกำลังเรียนรู้ความจริงสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับพระพร อะไรก็ตามที่ทำให้เราเรียกร้องหาพระเจ้าสามารถนับได้ว่าเป็นพระพร ทำไมคะ? เพราะเมื่อเราหมดหนทางและเจ็บปวด เมื่อเราไม่มีคำตอบและความมืดคืบคลานเข้ามา เราร้องเรียกหาพระเจ้า … และพระองค์เสด็จมาหา ไม่ใช่เพราะเราทำสิ่งใดที่สมควรได้รับพระกรุณา แต่เป็นเพราะเราร้องหาพระองค์ ด้วยเมล็ดพันธ์เล็กๆแห่งความเชื่อ
โดย Mary Southerland
อนุญาตโดย Girlsfriend in God : www.crosswalk.com