พระธรรม 2โครินธ์ 5:1-21
อ้างอิง อสย.38:12;รม.6:6-7;4:8;16:3;1:17;8:23;1คร.1:30;15:47,53-54,13:12;1ธส.4:1;2คร.5:4,18:1:22, 4:18,2;3:11;11:1, 16-18;12:11;10:4;6:1
บทนำ เราจะอยู่ในร่างกายชั่วคราวนี้ไม่นาน แล้วเราจะได้รับกายใหม่อันอมตะมาแทนที่
ในขณะที่เรายังอยู่ เราได้รับมอบหมายพันธกิจแห่งการคืนดีกับพระเจ้าให้เราประกาศออกไป
วันนี้ คุณได้กระทำหน้าที่นี้แล้วหรือยัง?
บทเรียน
5:1 “เพราะเรารู้ว่าถ้าเรือนกายบนโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ถูกทำลายไป เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งมาจากพระเจ้า ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และอยู่อย่างถาวรนิรันดร์ในสวรรค์”
(For we know that if the tent that is our earthly home is destroyed, we have a building from God, a house not made with hands, eternal in the heavens.)
5:2 “เพราะว่าในร่างกายนี้ เราคร่ำครวญและปรารถนาจะสวมใส่ที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์”
(For in this tent we groan, longing to put on our heavenly dwelling,)
5:3 “เพราะเมื่อสวมแล้ว เราก็จะไม่เปลือย”
(if indeed by putting it on we may not be found naked.)
5:4 “เพราะว่าเราที่อยู่ในเรือนกายนี้คร่ำครวญและเป็นทุกข์หนัก ไม่ใช่เพราะปรารถนาจะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมใส่กายใหม่ เพื่อกายที่ต้องตายนั้นจะถูกกลืนโดยชีวิตอมตะ”
(For while we are still in this tent, we groan, being burdened—not that we would be unclothed, but that we would be further clothed, so that what is mortal may be swallowed up by life.)
5:5 “แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำแก่เรา”
(He who has prepared us for this very thing is God, who has given us the Spirit as a guarantee.)
5:6 “เพราะฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอและรู้แล้วว่า ขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า”
(So we are always of good courage. We know that while we are at home in the body we are away from the Lord,)
5:7 “เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น”
(for we walk by faith, not by sight.)
5:8 “และเรามั่นใจและพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า”
(Yes, we are of good courage, and we would rather be away from the body and at home with the Lord.)
5:9 “ฉะนั้นเราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือจะจากไปก็ดี เราก็จะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย”
(So whether we are at home or away, we make it our aim to please him.)
5:10 “เพราะว่าเราทุกคนจำเป็นต้องปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งที่สมกับการกระทำในกายนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว”
(For we must all appear before the judgment seat of Christ, so that each one may receive what is due for what he has done in the body, whether good or evil.)
5:11 “เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรารู้จักเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราจึงชักชวนคนทั้งหลาย เราเป็นอย่างไรก็ปรากฏชัดต่อพระเจ้า และข้าพเจ้าหวังว่าจะปรากฏชัดต่อมโนธรรมของท่านด้วย”
(Therefore, knowing the fear of the Lord, we persuade others. But what we are is known to God, and I hope it is known also to your conscience.)
5:12 “เราไม่ได้ยกย่องตัวเองกับท่านทั้งหลายอีก แต่จะให้ท่านมีโอกาสเอาเราไปอวด เพื่อพวกท่านจะมีข้อโต้ตอบพวกที่ชอบอวดสิ่งที่ปรากฏ แทนที่จะอวดสิ่งที่อยู่ในจิตใจ”
(We are not commending ourselves to you again but giving you cause to boast about us, so that you may be able to answer those who boast about outward appearance and not about what is in the heart.)
5:13 “เพราะว่าถ้าเราเป็นเหมือนคนเสียสติ ก็เพราะเห็นแก่พระเจ้า หรือถ้าเราเป็นเหมือนคนปกติก็เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย”
(For if we are beside ourselves, it is for God; if we are in our right mind, it is for you.)
5:14 “เพราะว่าความรักของพระคริสต์ควบคุมเราอยู่ เรามั่นใจเช่นนี้ว่ามีผู้หนึ่งสิ้นพระชนม์เพื่อทุกคน ดังนั้นทุกคนจึงตายแล้ว”
(For the love of Christ controls us, because we have concluded this: that one has died for all, therefore all have died;)
5:15 “และพระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อทุกคน เพื่อบรรดาคนที่มีชีวิตอยู่จะไม่อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ที่สิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย”
(and he died for all, that those who live might no longer live for themselves but for him who for their sake died and was raised.)
5:16 “เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่พิจารณาใครตามมาตรฐานของโลก แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยพิจารณาพระคริสต์ตามมาตรฐานของโลกก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่พิจารณาพระองค์เช่นนั้นอีก”
(From now on, therefore, we regard no one according to the flesh. Even though we once regarded Christ according to the flesh, we regard him thus no longer.)
5:17 “ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”
(Therefore, if anyone is in Christ, he is a new creation. The old has passed away; behold, the new has come.)
5:18 “สิ่งทั้งหมดนี้เกิดจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ และประทานพันธกิจในเรื่องการคืนดีนี้แก่เรา”
(All this is from God, who through Christ reconciled us to himself and gave us the ministry of reconciliation;)
5:19 “คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษในความผิดของพวกเขา และทรงมอบเรื่องราวการคืนดีนี้ให้เราประกาศ”
(that is, in Christ God was reconciling the world to himself, not counting their trespasses against them, and entrusting to us the message of reconciliation.)
5:20 “เพราะฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายผ่านทางเรา เราจึงวิงวอนท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกับพระเจ้า”
(Therefore, we are ambassadors for Christ, God making his appeal through us. We implore you on behalf of Christ, be reconciled to God.)
5:21 “พระเจ้าทรงทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์”
(For our sake he made him to be sin who knew no sin, so that in him we might become the righteousness of God.)
ข้อมูลมีประโยชน์
5:1 “เรือนกายบนโลกที่เราอาศัยอยู่”(the tent that is our earthly home)= “เต็นท์ฝ่ายโลกนี้ที่เราอาศัยอยู่”
= ร่างกายในปัจจุบันของเรา (ยน.1:14;1ปต.1:13)
= เหมือนกับเต็นท์ซึ่งเป็นที่อาศัยชั่วคราวและไม่มั่นคง ร่างกายของเราก็เปราะบาง และกำลังเสื่อมสลาย (4:10-12,16)
“ที่อาศัยซึ่งมาจากพระเจ้า…อยู่อย่างถาวรนิรันดร์ในสวรรค์” (have a building from God,… eternal in the heavens. ) = มั่นคง, แข็งแรง,ถาวร
“ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์”(not made with hands) = เป็นงานของพระเจ้า ซึ่งสมบูรณ์แบบ และถาวร (ฮบ.9:11)
5:2 “เราคร่ำครวญ” (we groan) = โหยหาความสมบูรณ์ที่จะเป็นขึ้นมา เมื่อได้สวมกายวิญญาณอันเปี่ยมด้วยสง่าราศี (ปท. 1คร.15:42-49)
“จะสวมใส่ที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์” (to put on our heavenly dwelling) =ที่อาศัยนิรันดร์ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ (เปรียบเทียบในเชิงเหมือนคริสเตียนสวมเสื้อผ้า)
5:3 “จะไม่เปลือย” ( not be found naked.) = จะไม่ปราศจากเสื้อผ้าที่คลุมกาย เป็นสภาพของผู้ที่ถูกปลดเปลื้องเต็นท์ (กายฝ่ายโลก) นี้ด้วยความตาย
5:4 “กายที่ต้องตาย” (what is mortal) = ร่างกายที่ประกอบจากดินของเราในปัจจุบัน
“ถูกกลืน” (swallowed) = การมีส่วนในชีวิตที่เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ (4:10) เปรียบกับภาพดั้งเดิมของความตายและหลุมศพที่กลืนกินกายของมนุษย์ (สดด.49:14) ปท.อสย.25:8;1คร.15:54
5:5 “พระองค์ประทานพระวิญญาณ” (who has given us the Spirit) -พระวิญญาณได้นำผลของการทรงไถ่ของพระเยซูคริสต์มาสู่จิตใจของผู้เชื่อ และทำให้ฤทธิ์อำนาจแห่งการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระคริสต์เป็นจริงในประสบการณ์ชีวิตของเราแต่ละคน(ที่เชื่อ) ปท. 4:10-16
= สิ่งที่ให้หลักประกันว่า ผู้เชื่อจะถูกเปลี่ยนแปลงไปให้เป็นดุจกายอันมีสง่าราศีในบั้นปลาย (ฟป.3:21)
“เป็นมัดจำ” (guarantee) -1:22
= ส่วนหนึ่งที่ให้ไว้เพื่อเป็นหลักประกันว่า ส่วนที่เหลือทั้งหมดกำลังจะตามมา (รม.8:23)
5:6 “ขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” ( while we are at home in the body we are away from the Lord) = ขณะที่ยังอยู่ในกายดิน (เต็นท์ฝ่ายโลก) รู้สึกว่า เราอยู่ห่างจาก พระเจ้า แต่เราไม่ได้สูญเสียการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวันในโลกนี้
5:7 “โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น” ( by faith, not by sight) -4:18 ปท.1คร.13:12
5:8 “ไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า” ( we would rather be away from the body and at home with the Lord.) = ภาพของชีวิตคริสเตียนหลังจากตายจากโลกนี้ (ฟป.1:23) เมื่อไม่ได้อยู่ในร่างกายเดิมนี้อีกต่อไป
5:9 “จะอาศัยอยู่ในกายนี้หรือจะจากไปก็ดี” (we are at home or away) = ไม่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว จากไปอยู่กับพระเจ้าก็ตาม
5:10 “ต้องปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์” (appear before the judgment seat of Christ) = เราต้องรายงานสิ่งที่เราทำในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ (ในฐานะคริสเตียน) ต่อพระเจ้า – ปท.1คร.3:11-15;3:13
“สิ่งที่สมกับการกระทำในกายนี้” (what is due for what he has done in the body) = แม้ร่างกายจะกำลังเสื่อมลงไป แต่เราต้องรับผิดชอบทุกการกระทำของเราในขณะที่ยังอยู่ในร่างกายนี้
5:11 “เกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า” ( the fear of the Lord)= เรายำเกรงพระเจ้าเพราะว่าพระองค์คือผู้ที่เราต้องเข้ารายงานตัวในสิ่งที่เรากระทำ (ข.10; ปฐก.20:11;สภษ.1:7)
“เราจึงชักชวนคนทั้งหลาย” ( we persuade others) = อ.เปาโลจำเป็นต้องโน้มน้าวใจสมาชิกคริสตจักรโครินธ์บางคนว่า ท่านเองเป็นอัครทูตที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นหนึ่งในครูสอนเท็จที่แอบแฝงหรือลุกล้ำเข้ามาในคริสตจักร
5:12 “อวดในสิ่งที่ปรากฏ” (to boast about outward appearance) = ภูมิใจในสิ่งที่มองเห็น
= การอวดอ้างของผู้สอนเท็จเป็นเพียงฉากบังหน้า สิ่งที่พวกเขาสนใจจริง ๆ ไม่ใช่จิตวิญญาณที่แท้จริงและล้ำลึก แต่สนใจในเงินทองความนิยมชมชอบ และความสำคัญของตนเอง
5:13 “คนเสียสติ…คนปกติ” ( beside ourselves… in our right mind) = ศัตรูของ อ.เปาโลอาจกำลังกล่าวหาว่า เปาโลกำลังทนทุกข์เพราะคลั่งศาสนา อ.เปาโลไม่ปฏิเสธว่า เปาโลทุ่มเทเพื่อข่าวประเสริฐและหากว่าการทำนั้นถูกเรียกว่า วิกลจริต ท่านก็ยินดีรับไว้จดหมายทั้งฉบับยืนยันว่า อ.เปาโลเต็มใจและชื่นชมยินดีกับการทนทุกข์ยากลำบาก เพื่อข่าวประเสริฐได้ (12:10)
= แต่แท้จริง อ.เปาโลตระหนักดีว่า สิ่งที่ท่านทำนั้น ไม่ได้แปลกประหลาดอะไรเลย เพราะเป็นการกระทำที่มีเหตุผลและมีใจหนักแน่นมั่นคงอยู่เสมอ และหลีกเลี่ยงโวหารอันเลิศหรู และชั้นเชิงในการพูดทุกรูปแบบ (ปท. 1คร.2:1-5)
5:14 “ความรักของพระคริสต์”(love of Christ) = ที่แสดงออกผ่านการสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษย์อย่างเราบนไม้กางเขน
-บางคนตีความว่า ข้อความนี้น่าจะหมายถึง “ความรักที่เรามีต่อพระคริสต์”
“ผู้หนึ่ง” (that one)= พระเยซูพระบุตรผู้เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์
“คนทั้งปวงจึงตายแล้ว” (has died for all) = พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง พระองค์จึงรวบรวมคนทั้งปวงเข้ามาในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
-แต่สำหรับคนที่เชื่อและเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์เป็นการตายต่อบาป และต่อตัวเอง เพื่อให้เวลานี้ เขาอยู่ในและอยู่กับพระองค์ผู้เป็นขึ้นมาจากความตาย (ข.15;รม.6:1-11)
-อย่างไรก็ตาม บางคนตีความว่า
“คนทั้งปวง” ในตอนนี้น่าจะหมายถึง “ผู้เชื่อ” เท่านั้น -รม.6:6,7;กท.2:20;คส.3:3
5:16 “เมื่อก่อนเราเคยพิจารณาพระคริสต์ตามมาตรฐานของโลก” (Even though we once regarded Christ according to the flesh) = อ.เปาโลกำลังสารภาพยอมรับว่า ก่อนที่ท่านกลับใจท่านเคยมีทัศนคติต่อพระคริสต์ตามแบบโลก คือ พิจารณาตามแบบมนุษย์เท่านั้น –2คร.10:4;11:18
5:17 “ในพระคริสต์” (in Christ) = การเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ผ่านทางความเชื่อในพระองค์ และการมอบถวายชีวิตแด่พระองค์ (รม.6:11;อฟ.1:1;ฟป.2:1)
“เขาเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว” (he is a new creation) = การไถ่ การรื้อฟื้น และการทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าในการทรงสร้างสำเร็จบริบูรณ์ (4:6) และทุกสิ่งนี้เกิดขึ้นในพระคริสต์ (คส.1:16;ฮบ.1:2)
ปท. รม.8:19-23;อฟ.2:10
5:18 “สิ่งทั้งหมดนี้เกิดจากพระเจ้า” (All this is from God) = พระเจ้าเป็นผู้เริ่มต้นการไถ่ (ยน.3:16;รม.5:8)
พระองค์ทรงค้ำจุนและนำไปสู่ความความสมบูรณ์ (ฟป.1:6) –รม.11:36
“พันธกิจในเรื่องการคืนดี” (the ministry of reconciliation) = ทุกคนที่ได้คืนดีกับพระเจ้ามีสิทธิพิเศษ และภารกิจในการประกาศเรื่องการคืนดี (ข.19) ต่อคนทั่วทั้งโลก (รม.5:10)
5:19 “ไม่ทรงถือโทษในความผิดของพวกเขา” (not counting their trespasses against them) –รม.4:8
5:20 “เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์” (we are ambassadors for Christ ) –2คร.6:1;อฟ.6:20
“ให้คืนดีกับพระเจ้า” (be reconciled to God) –อสย.27:5
5:21 “พระองค์ผู้ทรงไม่มีบาป” (who knew no sin) –ฮบ.4:15;7:26;1ปต.2:22,24;1ยน.3:5
“ให้บาป” (to be sin) = ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
“เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์” (become the righteousness of God) –รม.1:17; 1คร.1:30
นี่เป็นการสรุปเนื้อหาของข่าวประเสริฐ คือ พระคริสต์ผู้ทรงชอบธรรมแบกรับบาปและโทษแทนเราที่กางเขน -ทำให้เราเป็นคนชอบธรรมได้คืนดีกับพระเจ้า –ปท.1คร.1:30
คำถามนำอภิปราย
- หากวันนี้ คุณต้องจากโลกนี้ไป คุณมั่นใจหรือไม่ว่า คุณจะได้รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า เพื่ออยู่ในสวรรค์ นิรันดร์? ทำไมคุณเชื่อเช่นนั้น?
- เวลานี้คุณดำเนินชีวิตโดยความเชื่อในพระเจ้า (ตามพระวจนะ) หรือตามตรรกะเหตุผลของคุณเอง? และส่งต่อชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง?
- คุณเคยมีความคิดที่อยากจะไปอยู่กับพระเจ้ามากกว่ามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไปบ้างหรือไม่? ทำไม แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร?
- คุณเคยตั้งเป้าที่จะทำให้พระเจ้าได้รับเกียรติและพอพระทัยในสิ่งที่คุณคิด พูด และทำบ้างหรือไม่?
- ยากหรือง่าย? ทำไม?
- แล้วทำได้หรือไม่? สุดท้าย ผลออกมาเป็นอย่างไร?
- ถ้าวันนี้ คุณต้องให้การต่อหน้าพระบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า คุณพร้อมหรือไม่? ทำไม?
- ทุกวันนี้ คุณดำเนินชีวิตที่ขัดกับจิตสำนึก
- ของตัวคุณอง
- ของคนอื่นบ้างหรือไม่?ในเรื่องใด? แล้วคุณจัดการอย่างไร?
- คุณได้ทำอะไรในฝ่ายจิตวิญญาณบ้างที่เป็นความภูมิใจของคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อคนในคริสตจักรของคุณ?
- คุณเคยรับใช้พระเจ้ามากจนคนอื่นคิดว่า เสียสติบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วส่งผลอะไรบ้าง?
- คุณเป็นคนชอบพิจารณาผู้อื่นต่อไปนี้ตามทัศนะของโลกหรือไม่?
- คนในโบสถ์
- คนในวงการคริสเตียน
- แม้แต่พระเจ้าเอง?
ผลคืออะไร?
- คุณเป็นทูตของพระคริสต์ในการประกาศเรื่องพันธกิจแห่งการคืนดีของพระองค์หรือไม่? และจะทำอย่างไร? เมื่อไร? ที่ไหน? กับใคร?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์