Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 4

ของมีค่าในภาชนะดิน

 พระธรรม        2โครินธ์ 4:1-18

อ้างอิง             1คร.7:25;4:5;1:13,18-20,23;12:9;2คร.1:11;2:12,17;5:7,11;3:14;13:9;9:11

บทนำ              ไม่ว่าเราจะเป็นใคร หรือมีสภาพเช่นใด นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ พระเยซูคริสต์และข่าวประเสริฐอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ต่างหากที่สำคัญ ขอแต่เพียงให้เราเป็นภาชนะบริสุทธิ์ที่พร้อมให้พระองค์ทรงใช้แค่นี้ก็เกินพอแล้ว!

บทเรียน

4:1 “เพราะเหตุนี้เมื่อเรามีพันธกิจนี้โดยได้รับพระเมตตา เราจึงไม่ย่อท้อ”

     (Therefore, having this ministry by the mercy of God, we do not lose heart. )

4:2 “เราได้ละทิ้งการกระทำต่างๆ ที่แอบแฝงและน่าอับอายไปแล้ว เราไม่ใช้อุบายและไม่ได้บิดเบือนพระวจนะของพระเจ้า แต่โดยการเปิดเผยความจริง เราเสนอตัวเราต่อมโนธรรมของทุกคนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า”

     (But we have renounced disgraceful, underhanded ways. We refuse to practice cunning or to tamper with God’s word, but by the open statement of the truth we would commend ourselves to everyone’s conscience in the sight of God.)

4:3 “แต่ถ้าแม้ข่าวประเสริฐของเรายังถูกปิดบังไว้อีก ก็ถูกปิดบังไว้จากพวกที่กำลังจะพินาศ”

     (And even if our gospel is veiled, it is veiled to those who are perishing. )

4:4 “คือในกรณีของพวกเขา พระของยุคนี้ได้ทำให้ความคิดของคนที่ไม่เชื่อมืดมนไป เพื่อไม่ให้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ คือเรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้า”

     (In their case the god of this world has blinded the minds of the unbelievers, to keep them from seeing the light of the gospel of the glory of Christ, who is the image of God.)

4:5 “เพราะว่าเราไม่ได้ประกาศตัวเอง แต่ประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศว่าตัวเราเองเป็นทาสของท่านทั้งหลายเพราะเห็นแก่พระเยซู” 

   (For what we proclaim is not ourselves, but Jesus Christ as Lord, with ourselves as your servants  for Jesus’ sake.)

4:6 “เพราะว่าพระเจ้าผู้ตรัสว่าให้ความสว่างส่องออกมาจากความมืด ทรงส่องสว่างเข้ามาในใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงพระสิริของพระเจ้า ที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระคริสต์”

     (For God, who said, “Let light shine out of darkness,” has shone in our hearts to give the light of the knowledge of the glory of God in the face of Jesus Christ.)

4:7 “แต่เรามีของล้ำค่านี้อยู่ในภาชนะดิน เพื่อให้เห็นว่า ฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง”

     (But we have this treasure in jars of clay, to show that the surpassing power belongs to God and not to us.)

4:8 “เราเผชิญความยากลำบากรอบด้าน แต่ก็ไม่ถูกบดขยี้ เราสับสนแต่ก็ไม่หมดหวัง”

     (We are afflicted in every way, but not crushed; perplexed, but not driven to despair; )

4:9 “เราถูกข่มเหงแต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีให้ล้มลง แต่ก็ไม่ถูกทำลาย”

     (persecuted, but not forsaken; struck down, but not destroyed; )

4:10 “เราแบกความตายของพระเยซูไว้ในร่างกายเสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะปรากฏในร่างกายของเราด้วย”

       (always carrying in the body the death of Jesus, so that the life of Jesus may also be manifested

       in our bodies.) 

4:11 “เพราะว่าเราที่มีชีวิตอยู่นั้น ถูกมอบไว้กับความตายอยู่เสมอเพราะเห็นแก่พระเยซู เพื่อชีวิตของพระเยซูจะ​ปรากฏในร่างกายเนื้อหนังที่ต้องตายของเรา”

  (For we who live are always being given over to death for Jesus’ sake, so that the life of Jesus  also may be manifested in our mortal flesh. )

4:12 “ฉะนั้นความตายจึงกำลังทำการอยู่ในเรา แต่ชีวิตกำลังทำการอยู่ในท่านทั้งหลาย”

       (So death is at work in us, but life in you.)

4:13 “และเรามีใจเชื่อเช่นเดียวกับที่เขียนไว้ว่า“ข้าพเจ้าเชื่อฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพูด เราก็เชื่อฉะนั้นเราจึงพูดด้วย”

       (Since we have the same spirit of faith according to what has been written, “I believed, and so I  spoke,” we also believe, and so we also speak, )

4:14 “เรารู้ว่าพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นมานั้น จะทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระเยซูด้วย และจะทรงพาเราเข้าเฝ้าพร้อมกับท่านทั้งหลาย”

 (knowing that he who raised the Lord Jesus will raise us also with Jesus and bring us with you  into his presence.) 

4:15 “เพราะว่าทุกๆ สิ่งก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อว่าเมื่อพระคุณมาถึงคนจำนวนมากขึ้น การขอบพระคุณก็จะมีมากยิ่งขึ้น อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า”

       (For it is all for your sake, so that as grace extends to more and more people it may increase thanksgiving, to the glory of God.)

4:16 “ฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่าสภาพภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่สภาพภายในนั้นก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ทุกๆ วัน”

    (So we do not lose heart. Though our outer self is wasting away, our inner self is being renewed day by day.)

4:17 “เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ”

       (For this light momentary affliction is preparing for us an eternal weight of glory beyond all comparison,)

4:18 “เราไม่ได้เอาใจใส่ในสิ่งที่มองเห็น แต่เอาใจใส่ในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นถาวรนิรันดร์”

   (as we look not to the things that are seen but to the things that are unseen. For the things that  are seen are transient, but the things that are unseen are eternal.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

4:1       “พันธกิจนี้” (ministry) -3:6

“ได้รับพระเมตตา” (mercy)   = เมื่อพระเจ้าทรงเรียก และมอบหมายภารกิจใดให้ผู้รับใช้ของพระองค์ กระทำ พระองค์ก็จะเมตตาประทานกำลังที่จำเป็นให้ เพื่อที่เขาจะสามารถยืนหยัดเผชิญกับความยากลำบากและการทดลองได้

“เราจึงไม่ย่อท้อ” (we do not lose heart) = ไม่ท้อใจ

4:2       “ละทิ้งการกระทำต่าง ๆ ที่แอบแฝงและน่าอับอายไปแล้ว” (renounced disgraceful, underhanded ways) = อ.เปาโลกำลังพาดพิงถึงผู้สอนผิดในเมืองโครินธ์ โดยท่านกล้าแตกต่างและยืนหยัดได้ต่อจิตสำนึกของทุกคนและต่อมโนธรรมของตัวเอง ด้วย

“เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” (in the sight of God) = ไม่มีอะไรละอายต่อพระเจ้าในสิ่งที่ท่านทำและพูดอย่างตรงไปตรงมา และไม่มีการปิดบังแอบแฝงหรือใช้เล่ห์เหลี่ยม (ปท.1:12,18-24)

4:3       “ถ้าแม้ข่าวประเสริฐของเรายังถูกปิดบังไว้อีก” (if our gospel is veiled) -3:13-18

4:4       “พระของยุคนี้” (the god of this world) = มารที่มีอิทธิพลต่อคนที่ไม่เชื่อทำให้พวกเขาไม่เดินตามทางของพระเจ้าและถือมารเป็นพระของเขา

คำว่า “ยุคนี้” ใช้เพื่อแสดงให้เป็นความแตกต่างกับยุคนิรันดร์ที่กำลังจะมาถึง เป็นยุคที่พระเจ้าทรงชำระล้างสรรพสิ่งให้พ้นจากความเสื่อมทรามตลอดกาล –กท.1:4

“ทำให้ความคิดของคนที่ไม่เชื่อมืดมนไป” (blinded the minds of the unbelievers) = มืดบอดไป     อ.เปาโล ยังใช้ภาพของผ้าคลุมซึ่งปกปิดสง่าราศีของพระเจ้า ทำให้คนที่ปฏิเสธข่าวประเสริฐไม่เห็น       (3:13-18)

“พระฉายาของพระเจ้า” (the image of God) = พระคริสต์ ผู้เป็นทั้งพระบุตรที่บังเกิดเป็นมนุษย์ และเป็นหนึ่งในพระภาคของพระเจ้าที่สำแดงและสะท้อนพระเกียรติสิริพระเจ้าให้ เราเห็นอย่างแท้จริง (ฮบ.1:3)

พระคริสต์เป็นพระฉายของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามนั้น และ(มนุษย์ที่รับการไถ่) ก็กำลังถูกเปลี่ยนแปลงให้มีสง่าราศีเพิ่มขึ้น (3:18) และเมื่อพระคริสต์กลับมา เราจะเป็นเหมือนพระองค์ (1ยน.3:2)

4:5       “เราไม่ได้ประกาศตัวเอง” (we proclaim is not ourselves) = ไม่เหมือนผู้สอนเท็จที่พยายามทำให้ว่าตัวเขาเองสำคัญ (ปท.1คร.2:2)
4:6       “ให้ความสว่างส่องออกมาจากความมืด” (Let light shine out of darkness) = คำตรัสแบบเดียวกับที่พระเจ้าตรัสในตอนสร้างโลก (ปฐก.1:2-4) และจะตรัสอีกครั้งในการสร้างใหม่หรือการให้บังเกิดใหม่ (5:17;ยน.3:3;1ปต.1:3) = ความมืดแห่งบาปถูกขับไล่ด้วยความสว่างแห่งข่าวประเสริฐ

“ความสว่างแห่งความรู้ถึงพระสิริของพระเจ้า” (the light of the knowledge of the glory of God)

= ความรู้แห่งพระเกียรติสิริของพระเจ้าที่ถูกต้อง สำแดงออกมาในพระพักตร์ของพระคริสต์ซึ่งสะท้อน     พระสิริของพระเจ้าในสวรรค์ (ยน.1:14)

4:7       “ของล้ำค่า” (treasure) = ข่าวประเสริฐ

“ภาชนะดิน” (jars of clay) = ความเปราะบางและความไม่คู่ควรของ อ.เปาโล ที่เปรียบเหมือนภาชนะดินที่ดูไร้ค่า และไม่ได้สวยงามน่าสนใจ

“ฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า” (power belongs to God) = พระเจ้าสำแดงฤทธานุภาพอันเปี่ยมล้นของพระองค์

4:8-12   -ปท.11:23-26

4:10     “เราแบกความตายของพระเยซูไว้ในร่างกายเสมอ” (always carrying in the body the death of Jesus) = เปาโลมีความเปราะบางอย่าง “ภาชนะดิน” (ข.7) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านต้องเผชิญแบกรับความยากลำบากและการข่มเหงต่าง ๆ เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐและการร่วมในการทนทุกข์ของพระคริสต์ (1:5;รม.8:17;คส.1:24)

          “เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะปรากฏในร่างกายของเราด้วย” (so that the life of Jesus may also be manifested in our bodies ) = ความอ่อนแอของมนุษย์เปิดโอกาสให้ฤทธิ์อำนาจแห่งชัยชนะของพระเจ้า

= ฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์หลังจากเป็นขึ้นมาจากความตาย (ฟป.3:10)

4:12     “ความตาย” (death) -1คร.15:31

4:13     “ข้าพเจ้าเชื่อ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพูด” (“I believed, and so I spoke,”) = “ข้าพเจ้ายังเชื่อ ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้พูด”

= ความเชื่อนำไปสู่การเป็นพยาน ดังนั้น อ.เปาโล จึงได้ทุ่มเทและเดินทางนำข่าวประเสริฐไปประกาศอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

4:14     “พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นมา” (he who raised the Lord Jesus) = พระเจ้า (กจ.2:24)

          “จะทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระเยซูด้วย” (will raise us also with Jesus) –รม.8:11;1คร.15:20

4:16     “ฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ” (So we do not lose heart) = ย้ำในข้อ 1 แสดงว่า อ.เปาโล ยังคงมีใจปลาบปลื้มยินดีต่อไป

“สภาพภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป” (Though our outer self is wasting away) = เนื่องจากความทุกข์ยากที่เขาทนรับอยู่

“แต่สภาพภายในนั้นก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ทุกวัน” (our inner self is being renewed day by day)

= กำลังได้รับการฟื้นขึ้นใหม่ โดยเปลวไฟแห่งชีวิต ที่เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์กำลังลุกโชนอยู่ภายใน และไม่มีวันมอดดับลง

4:17     “ความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา” (this light momentary affliction) = เมื่อมองดูด้วยมุมมองจากนิรันดร์กาล ความยากลำบากทั้งหลายของคริสเตียนก็จะไร้ความหมายไปในทันที

          “จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ” (is preparing for us an eternal weight of glory beyond all comparison) =ศักดิ์ศรีนิรันดร์นั้นยิ่งใหญ่กว่า การทนทุกข์ทั้งมวลที่คน ๆ หนึ่งอาจเผชิญในชีวิตนี้ (รม.8:17-18)

4:18     “สิ่งที่มองเห็น…สิ่งที่มองไม่เห็น” ( look not to the things …that are unseen) = ประสบการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่พบในปัจจุบันเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ แต่ก็ชั่วคราวและคงอยู่ประเดี๋ยวเดียว ถ้าเรามองสิ่งเหล่านั้น เราอาจท้อใจ (ข.1,17) แต่ความจริงที่มองไม่เห็น (ปท.ฮบ.11:1,7,26-27) เป็นสิ่งนิรันดร์แลไม่เสื่อมสูญ เราจึงควรหันไปจากสิ่งชั่วคราวในโลก และมองไปที่สิ่งนิรันดร์เหล่านั้น (ฟป.3:20;ฮบ.12:2)

 คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยท้อใจหรือย่อท้อกับการกระทำภารกิจใดบ้างไหม? ทำไม?
  2. คุณเคยยืนหยัดในการประกาศหรือสอนความจริงของพระเจ้า โดยไม่ยอมบิดเบือนหรือประนีประนอมให้ผิดคำสอนบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยประกาศหรือเป็นพยานแล้วผู้รับฟังปิดตาปิดใจบ้างไหม? คุณคิดว่า อะไรเป็นสาเหตุ แล้วคุณแก้ไขอย่างไร?
  4. คุณเคยเห็นคนที่เปิดใจรับฟังข่าวประเสริฐแล้วชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจนบ้างไหม? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยเผชิญความยากลำบากรอบด้าน สับสน ถูกข่มเหงและถูกตีให้ล้ม แต่ไม่หมดหวังบ้างไหม? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยมีความคิดพร้อมตายเพื่อพระเยซูคริสต์และข่าวประเสริฐของพระองค์หรือไม่? เมื่อใด? ที่ไหน? และทำไม?
  7. คุณเคยมีประสบการณ์กับชีวิตและฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ปรากฎหรือสำแดงในหรือผ่านชีวิตของคุณบ้างไหม? (แบ่งปัน)
  8. เคยมีคนขอบคุณพระเจ้าหรือขอบคุณคุณที่เป็นพยานและประกาศข่าวประเสริฐแก่เขาบ้างหรือไม่?(แบ่งปัน)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.