Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 3

พันธกรแห่งพันธสัญญาใหม่

พระธรรม        2โครินธ์ 3:1-18

อ้างอิง             รม.16:1;1:17;3:21-22;5:4-5;8:24-25;กจ.18:27;2คร.5:12;3:6-9,13;10:12,18;12:11;1คร.16:3; 9:2;13:12

บทนำ              ชีวิตของเราควรเป็นตัวอย่างแห่งการเปลี่ยนโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระวจนะของพระเจ้าที่ใคร ๆ ก็เห็นชัด ชีวิตเราควรเกิดผลในการนำคนให้รู้จักพระคริสต์และสร้างคนนั้นให้เติบโตเป็นสาวกแท้ของพระองค์ดุจเป็นจดหมายแนะนำตัวสำหรับคุณ!

บทเรียน

3:1 “เราเริ่มจะยกย่องตัวเองอีกแล้วหรือ? หรือว่าเราต้องการจดหมายแนะนำตัวต่อพวกท่าน หรือมาจากพวกท่านเหมือนอย่างคนบางคนหรือ?”

     (Are we beginning to commend ourselves again? Or do we need, as some do, letters of recommendation to you, or from you?)

3:2 “ท่านเองเป็นจดหมายแนะนำตัวของเราที่จารึกไว้ในดวงใจของเรา ให้ทุกคนรู้และอ่าน”

     (You yourselves are our letter of recommendation, written on our hearts, to be known and read by all.)

3:3 “ท่านปรากฏเป็นจดหมายของพระคริสต์ ที่เราเป็นผู้ส่งและไม่ได้เขียนด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ไม่ได้เขียนบนแผ่นศิลา แต่เขียนบนแผ่นดวงใจมนุษย์”

   (And you show that you are a letter from Christ delivered by us, written not with ink but with the  Spirit of the living God, not on tablets of stone but on tablets of human hearts.)

3:4 “เรามีความมั่นใจเช่นนี้ในพระเจ้าโดยพระคริสต์”

     (Such is the confidence that we have through Christ toward God.)

3:5 “ไม่ใช่เพราะมีความสามารถในตัวเราเองที่จะถือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดจากตัวเราเอง แต่ความสามารถนั้นมาจากพระเจ้า” 

     (Not that we are sufficient in ourselves to claim anything as coming from us, but our sufficiency is  from God,)

3:6 “ผู้ประทานให้เราสามารถเป็นผู้ปรนนิบัติแห่งพันธสัญญาใหม่ ที่ไม่ใช่เป็นไปตามตัวอักษรที่เขียนไว้แต่เป็นไปตามพระวิญญาณ ด้วยว่าตัวอักษรที่เขียนไว้นั้นทำให้ตาย แต่พระวิญญาณประทานชีวิต”

     (who has made us sufficient to be ministers of a new covenant, not of the letter but of the Spirit.  For the letter kills, but the Spirit gives life.)

3:7 “แต่ถ้าการปรนนิบัติที่ทำให้ตายคือตามตัวอักษรที่จารึกไว้บนแผ่นศิลานั้นยังมาด้วยรัศมี (แม้จะเป็นรัศมีที่จางหายไป) ที่ทำให้พวกอิสราเอลไม่อาจเพ่งดูหน้าของโมเสสเพราะรัศมีบนใบหน้าของท่าน”

   (Now if the ministry of death, carved in letters on stone, came with such glory that the Israelites could not gaze at Moses’ face because of its glory, which was being brought to an end, )

3:8 “การปรนนิบัติตามพระวิญญาณก็จะมีรัศมียิ่งกว่านั้นอีกไม่ใช่หรือ?”

        (will not the ministry of the Spirit have even more glory?)

3:9 “เพราะว่าถ้าการปรนนิบัติที่เกี่ยวกับการลงโทษยังมีรัศมี การปรนนิบัติที่เกี่ยวกับความชอบธรรมจะยิ่งมีรัศมี​มากกว่านั้นหลายเท่า”

       (For if there was glory in the ministry of condemnation, the ministry of righteousness must far exceed it in glory.)

3:10 “อันที่จริงรัศมีที่เคยมีนั้นก็อับแสงไปแล้ว ในกรณีนี้เป็นเพราะมีรัศมีที่ยิ่งใหญ่กว่า”

       (Indeed, in this case, what once had glory has come to have no glory at all, because of the glory that surpasses it.)

3:11 “เพราะว่าถ้าสิ่งที่จางหายไปยังมาด้วยรัศมี สิ่งที่ยั่งยืนก็จะยิ่งมาด้วยรัศมีมากกว่านั้นหลายเท่านัก”

       (For if what was being brought to an end came with glory, much more will what is permanent  have glory.)

3:12 “เมื่อมีความหวังเช่นนั้นแล้วเราจึงพูดด้วยความกล้าอย่างยิ่ง”

                (Since we have such a hope, we are very bold, )

3:13 “และเราไม่เหมือนโมเสสที่เอาผ้าคลุมไว้บนใบหน้า เพื่อไม่ให้ชนอิสราเอลเพ่งดูการสิ้นสุดของรัศมีที่ค่อยๆ จางหายไปนั้น”

   (not like Moses, who would put a veil over his face so that the Israelites might not gaze at the outcome of what was being brought to an end.)

3:14 “แต่ความคิดของพวกเขามืดมัวไป เพราะว่าตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเขาทั้งหลายอ่านพันธสัญญาเดิมผ้าคลุมนั้นยังคงอยู่ ไม่ได้ถูกเปิดออก เพราะผ้าคลุมนั้นจะถูกเปิดออกโดยพระคริสต์”

   (But their minds were hardened. For to this day, when they read the old covenant, that same veil remains unlifted, because only through Christ is it taken away.)

3:15 “แต่ว่าจนถึงทุกวันนี้ เมื่อใดที่อ่านคำของโมเสส ผ้าคลุมนั้นยังปิดบังใจของเขาไว้”

       (Yes, to this day whenever Moses is read a veil lies over their hearts.)

3:16 “แต่ถ้าใครหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะถูกเปิดออก”

                   (But when one turns to the Lord, the veil is removed.)

3:17 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น”

                 (Now the Lord is the Spirit, and where the Spirit of the Lord is, there is freedom.)

3:18 “แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว และมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เหมือนอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ”

   (And we all, with unveiled face, beholding the glory of the Lord, are being transformed into the same image from one degree of glory to another. For this comes from the Lord who is the Spirit.)

ข้อมูลมีประโยชน์

3:1       “เราเริ่มจะยกย่องตัวเองอีกแล้วหรือ?” (Are we beginning to commend ourselves again?)

= อ.เปาโลตระหนักว่า ศัตรูหรือครูสอนเท็จในโครินธ์อาจบิดเบือนสิ่งที่ท่านเขียนและพูดไปในทางผิด จึงพูดดักคอไว้ก่อน

“จดหมายแนะนำตัว” (letters of recommendation) = จดหมายรับรอง, อ.เปาโล ไม่จำเป็นต้องมีจดหมายรับรองเหมือนพวกสอนผิดต้องการและใช้วิธีที่ไม่เหมาะสมในการได้จดหมายแนะนำนั้นมา

3:2       “ให้ทุกคนรู้และอ่าน” (to be known and read by all) = ชีวิตได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วยฤทธิ์เดชจากอำนาจของข่าวประเสริฐ ซึ่งเห็นได้ผ่านการสำแดงที่เห็นได้ชัดเจน

3:3       “จดหมายของพระคริสต์” (a letter from Christ) = อ.เปาโลเป็นเพียงเครื่องมือที่อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า

“ไม่ได้เขียนด้วยน้ำหมึก” (written not with ink) = อย่างที่เขียนในแผ่นหนังหรือแผ่นหญ้าพาไพรัสที่หมึกอาจจางหรือลบออกได้ง่าย

“แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์” (but with the Spirit of the living God )

= พระวิญญาณของพระเจ้าเป็นผู้ประทานชีวิต (ข.6) และชีวิตที่ทรงประทานเป็นนิรันดร์ และปราศจากข้อบกพร่อง

“ไม่ได้เขียนบนแผ่นศิลา” (not on tablets of stone) = อย่างที่ภูเขาซีนาย (ข.6)

“บนแผ่นดวงใจมนุษย์” ( but on tablets of human hearts) –ยรม.31:33;อสค.11:19;36:26

-อ.เปาโลอธิบายความสำคัญของความแตกต่างระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ในข้อ 7-18

3:4-5 –ตอบคำถามจาก 2:16

3:6       “ผู้ปรนนิบัติแห่งพันธสัญญาใหม่”(ministers of a new covenant) –ผู้ปรนนิบัติ =พันธกร, คนรับใช้

“แห่ง” = “ให้กับ” (รม.15:16;คส.1:7;4:7;1ทธ.4:6)

“พันธสัญญาใหม่” – ยรม.31:31

3:7-18  -อ. เปาโลปกป้องพันธกิจแห่งพันธสัญญาใหม่ในพระคริสต์ โดยเปรียบเทียบประสบการณ์ของโมเสส พันธกรแห่งพันธสัญญาเดิมที่ซีนายกับเปาโล ในฐานะพันธกรแห่งพันธสัญญาใหม่

-รัศมีบนใบหน้าของโมเสสจางหาย แต่รัศมีที่เพิ่มขึ้นใน ข.18 สะท้อนบนใบหน้าของผู้ที่เป็นพันธกรแห่งพันธสัญญาใหม่

3:7    “มาด้วยรัศมี” (came with such glory) = บทบัญญัติในพันธสัญญาเดิม เป็นสิ่งบริสุทธิ์ชอบธรรม ดีงาม และอยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ (รม.7:12,14)

-ความชั่วร้ายอยู่ในจิตใจและในการทรงนำของคนที่ละเมิดบทบัญญัติ ที่นำโทษจากบทบัญญัติและโทษจากความตายมาสู่ตนเอง

“รัศมี” = พระเกียรติสิริของพระเจ้าเมื่อพระองค์ประทานบทบัญญัติและเป็นรัศมีที่สะท้อนบนใบหน้าของโมเสสเมื่อท่านลงมาจากภูเขา (อพย.34:29-30)

3:9       “การปรนนิบัติที่เกี่ยวกับการลงโทษ” (ministry of condemnation) –ฉธบ.27:26;2คร.3:7

“การปรนนิบัติที่เกี่ยวกับความชอบธรรม จะยิ่งมีรัศมีมากกว่านั้นหลายเท่า”( the ministry of righteousness must far exceed it in glory) –รม.1:17

= พันธกิจที่นำความชอบธรรม และชีวิตมาให้ (ไม่ใช่ความตาย) –อสย.46:13

3:11     “สิ่งที่จางหายไป” (brought to an end) = สิ่งที่กำลังเลือนหายคือ พันธสัญญาเดิมแห่งซีนายซึ่งจะไม่ดำรงอยู่ตลอดไป จะถูกแทนที่โดยพันธสัญญาใหม่ที่ไม่เลือนหาย แต่มีรัศมีเจิดจ้ากว่าในเวลาอันสมควร (ฮบ.8:7-13)

3:13     “โมเสสที่เอาผ้าคลุมไว้บนใบหน้า” (Moses, who would put a veil over his face  ) –อพย.34:33-35

-จุดประสงค์ของผ้าคลุมหน้าก็คือ เพื่อไม่ให้คนอิสราเอลเห็นรัศมีที่กำลังจางหายไป

3:14     “เพราะว่าตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเขาทั้งหลายอ่านพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมหน้ายังคงอยู่”

(For to this day, when they read the old covenant, that same veil remains unlifted) = ผ้าคลุมหน้าที่บังไม่ให้พวกเขาเห็นรัศมีที่กำลังจางหายไปจากใบหน้าของโมเสส และที่ขวางกั้นไม่ให้พวกเขารับรู้ถึงความไม่ยั่งยืน และความไม่เพียงพอของพันธสัญญาเดิม ซึ่งเป็นผ้าคลุมหน้าที่ต้องถูกเอาออกไปเมื่ออยู่ในพระคริสต์

3:17     “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ” ( the Lord is the Spirit) = ประโยคที่ควรเชื่อมโยงกับท้าย ข้อ 6 ที่ว่า “แต่พระวิญญาณประทานชีวิต”

= การประกาศกล่าวโทษ และความตายที่มีต่อผู้ไม่ได้ประพฤติตามบทบัญญัติจะเป็นโมฆะและถูกแทนที่ด้วยพระคุณแห่งพันธสัญญาใหม่ เมื่อผู้นั้นหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระคุณแห่งพันธสัญญาใหม่ เป็นพระคุณที่ให้ชีวิตและให้แบบเปล่า ๆ

“…พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น” (…the Spirit of the Lord is, there is freedom) –ยน.8:32-33,36

3:18     “ไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว” (unveiled face) = แตกต่างจากโมเสส

“เราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายของพระองค์ โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป”

(being transformed into the same image from one degree of glory to another.           )

= พระคริสต์ทรงเป็นพระเกียรติสิริอันเจิดจ้าและบริบูรณ์ของพระเจ้า (ฮบ.1:2-3)

= รัศมีของพระองค์เป็นนิรันดร์ไม่มีวันจางหายไป อันเป็นรัศมีที่พระองค์มีส่วนร่วมกับพระบิดามาตั้งแต่ก่อนสร้างโลกนี้ (ยน.17:5)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับการต้องทำหรือขอหนังสือรับรองตัวบ้างหรือไม่? เพื่อให้ใคร? อย่างไร?
  2. คุณจำเป็นต้องยกย่องตัวเองหรือขอเอกสารแนะนำตัวจากคนในคริสตจักรของคุณหรือไม่? ทำไม?
  3. หากให้สรุปมาเหลือเพียงประโยคเดียว คุณสามารถพรรณนาถึงตัวของคุณในสายตาคนอื่นว่าอย่างไร? ทำไม? (มีอะไรเป็นจุดเด่นของคุณที่คนอื่น ๆ เห็นชัด)
  4. มีผู้ใดหรือใครบ้างที่สามารถเป็น “จดหมายแนะนำตัว” ของคุณที่ชัดเจนที่สุด? อย่างไร?
  5. คุณมีประสบการณ์อะไรกับการประทานชีวิตของพระวิญญาณในชีวิตของคุณ? (แบ่งปัน)
  6. มีเรื่องใดบ้างในพระคัมภีร์เดิมที่คุณเชื่อว่าเป็นเสมือน “รัศมีที่อับแสง” หรือ “กำลังอับแสง” บ้าง? ทำไมคุณคิดอย่างนั้น?
  7. คุณเคยมีประสบการณ์กับการอ่านพระคัมภีร์แล้วรู้สึกเหมือนผ้าคลุมถูกเปิดออกบ้างไหม? ข้อไหน? ตอนไหน? และอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.