Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์ 14 (ตอนที่ 2)

จงทำทุกสิ่งอย่างมีระเบียบ

พระธรรม        1โครินธ์ 14:26-15:11

อ้างอิง             รม.2:16;7:1;15:33;1คร.11:5,13;12:7-10,31;13:2;14:2,6,32-33,37,40;อฟ.5:22;1ยน.4:6;2คร.10:7; ปฐก.3:16;1ทธ.2:11-12;กจ.11:27;อสย.40:9

บทนำ

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข

ขอให้เรากระทำทุกอย่างในคริสตจักรอย่างมีระเบียบวินัย

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก

ขอให้เราจงกระทำทุกอย่างด้วยความรักเมตตา

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งฤทธานุภาพ

ขอให้เราจงนมัสการสรรเสริญพระองค์!

บทเรียน

 14:26 “เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาจะว่าอย่างไร? เมื่อพวกท่านมาชุมนุมกัน แต่ละคนก็มีเพลงสดุดี มีคำสอน มีคำ​วิวรณ์ มีการพูดภาษาแปลกๆ มีการแปลภาษาแปลกๆ จงทำทุกสิ่งเพื่อให้เขาเจริญขึ้น

 (What then, brothers? When you come together, each one has a hymn, a lesson, a revelation, a tongue, or an interpretation. Let all things be done for building up.)

14:27 “ถ้าใครจะพูดภาษาแปลกๆ จงให้พูดเพียงสองคนหรืออย่างมากที่สุก็สามคนและให้พูดทีละคน แล้วให้อีกคนหนึ่งแปล”

(If any speak in a tongue, let there be only two or at most three, and each in turn, and let someone interpret.)

14:28 “แต่ถ้าไม่มีใครแปลได้ก็ให้เขาอยู่เงียบๆ ในที่ประชุม และให้พูดกับตัวเอง และทูลต่อพระเจ้า

(But if there is no one to interpret, let each of them keep silent in church and speak to himself and to God.)

14:29 “ให้พวกผู้เผยพระวจนะพูดได้สองหรือสามคน และให้คนอื่นๆ วินิจฉัยสิ่งที่พูด

         (Let two or three prophets speak, and let the others weigh what is said.)

14:30 “ถ้ามีการทรงสำแดงแก่คนอื่นที่นั่งอยู่ด้วยกัน ให้คนแรกนั้นเงียบไว้ก่อน

         (If a revelation is made to another sitting there, let the first be silent.)

14:31 “เพราะว่าพวกท่านทั้งหมดสามารถเผยพระวจนะได้ทีละน เพื่อให้ทุกคนได้เรียนรู้ และได้รับการหนุนใจ

         (For you can all prophesy one by one, so that all may learn and all be encouraged, )

14:32 “จิตวิญญาณของพวกผู้เผยพระวจนะนั้น ย่อมอยู่ในบังคับพวกผู้เผยพระวจนะ

         (and the spirits of prophets are subject to prophets. )

14:33 “เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติ ดังที่เป็นอยู่ในคริสตจักรทุกแห่งของธรรมิกชน

         (For God is not a God of confusion but of peace. As in all the churches of the saints)

14:34 “จงให้บรรดาผู้หญิงอยู่เงียบๆ ในคริสตจักร เพราะว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ให้มีความนอบน้อม​เหมือนที่ธรรมบัญญัติกล่าวไว้

       (the women should keep silent in the churches. For they are not permitted to speak, but should be in submission, as the Law also says.)

14:35 “ถ้าพวกเขาต้องการจะเรียนรู้สิ่งใด ก็ให้ถามสามีของตนที่บ้าน เพราะว่าการที่ผู้หญิงจะพูดในคริสตจักรนั้น​ก็เป็นเรื่องน่าอาย 

(If there is anything they desire to learn, let them ask their husbands at home. For it is shameful for a woman to speak in church.)

14:36 “พระวจนะของพระเจ้าเกิดมาจากพวกท่านหรือ? พระวจนมาถึงท่านพวกเดียวหรือ?”
         (Or was it from you that the word of God came? Or are you the only ones it has reached? )

 14:37 “ถ้าใครคิดว่าตนเป็นผู้เผยพระวจนะ หรืออยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็จงยอมรับว่า ข้อความซึ่งข้าพเจ้าเขียนมาถึงพวกท่านนี้ เป็นพระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า

         (If anyone thinks that he is a prophet, or spiritual, he should acknowledge that the things I am  writing to you are a command of the Lord.)

14:38 “และถ้าใครไมเอาใจใส่ข้อความนี้ คนนั้นก็จะไม่ได้รับการเอาใจใส่

         (If anyone does not recognize this, he is not recognized.) 

14:39 “ฉะนั้นี่น้องทั้งหลาย จงขวนขวายการเผยพระวจนะ ส่วนการพูดภาษาแปลกๆ นั้นก็อย่าห้ามเลย

         (So, my brothers, earnestly desire to prophesy, and do not forbid speaking in tongues.)

14:40 “แต่จงให้ทุกสิ่งมีความเหมาะสมและเป็นระเบียบเถิด”

         (But all things should be done decently and in order.)

 

 15:1 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้คำนึงถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าเคยประกาศแก่ท่านทั้งหลายนั้น พวกท่านได้รับ​ไว้และได้ตั้งมั่นอยู่บนนั้นแล้ว

       (Now I would remind you, brothers, of the gospel I preached to you, which you received, in  which you stand,

15:2 “และท่านจะได้รับความรอดโดยข่าวประเสริฐนั้นถ้าพวกท่านยังยึดมั่นในคำที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น นอกจากว่า​ท่านเชื่อแบบไร้ผล

       (and by which you are being saved, if you hold fast to the word I preached to you—unless you believed in vain.)

15:3 “เพราะว่าข้าพเจ้าได้มอบเรื่องสำคัญที่สุดที่ได้รับมานั้นแก่พวกท่านคือพระคริสต์วายพระชนม์เพราะบาปของ​เรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 

       (For I delivered to you as of first importance what I also received: that Christ died for our sins in accordance with the Scriptures,)

15:4 “และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 

             (that he was buried, that he was raised on the third day in accordance with the Scriptures, )

15:5 “พระองค์ทรงปรากฏต่อเคฟาสแล้วต่ออัครทูตสิบสองคน

       (and that he appeared to Cephas, then to the twelve.)

15:6 “ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏต่อพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในเวลาเดียวกัน ที่ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้แต่บ้างก็ล่วงหลับไปแล้ว

        (Then he appeared to more than five hundred brothers at one time, most of whom are still alive,  though some have fallen asleep.)

15:7 “ต่อจากนั้นพระองค์ทรงปรากฏต่อยากอบ แล้วต่ออัครทูทั้งหมด

             (Then he appeared to James, then to all the apostles. )

15:8 “หลังสุดพระองค์ทรงปรากฏต่อข้าพเจ้า ผู้เป็นเหมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนด

             (Last of all, as to one untimely born, he appeared also to me.)

15:9 “เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในพวกอัครทูต และไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นอัครทูต เพราะว่าข้าพเจ้าได้​ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า

             (For I am the least of the apostles, unworthy to be called an apostle, because I persecuted the church of God.)

15:10 “แต่โดยพระคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ และพระคุณของพระองค์ที่ประทานแก่ข้าพเจ้า​นั้น ก็ไม่ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้าตรากตรำมากกว่าพวกเขาทั้งหมด ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองเป็นคนทำ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าที่ทำ

    (But by the grace of God I am what I am, and his grace toward me was not in vain. On the contrary, I worked harder than any of them, though it was not I, but the grace of God that is with me.)

15:11 “เพราะฉะนั้นตัวข้าพเจ้าหรือพวกเขาก็ดี เราต่างก็ประกาศเช่นนี้ และท่านทั้งหลายก็ได้เชื่อเช่นนี้

               (Whether then it was I or they, so we preach and so you believed.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

 14:26   “มีเพลงสดุดี มีคำสอน มีคำวิวรณ์ มีการพูดภาษาแปลก ๆ มีการแปลภาษาแปลก ๆ”

(has a hymn, a lesson, a revelation, a tongue, or an interpretation) = องค์ประกอบในการนมัสการที่คริสตจักรในเมืองโครินธ์

-บางองค์ประกอบก็มาจากพันธสัญญาเดิม และการนมัสการในธรรมศาลา เช่น เพลงสดุดี และคำสั่งสอน (ลก.4:16-22)

-แต่อย่างไรก็ตาม ทุกองค์ประกอบล้วนเพื่อนมัสการพระเจ้า และเสริมสร้างคริสตจักรให้เข้มแข็งและเจริญเติบโตมากขึ้น

14:27-28 –กล่าวถึงข้อจำกัด 3 ข้อ ในเรื่องการพูดภาษาแปลก ๆ ในคริสตจักร (ข.28) คือ

  1. ต้องพูดในที่ประชุมเพียง 2-3 คนเท่านั้น
  2. ต้องไม่พูดพร้อมกันทีเดียว 2-3 คน
  3. ต้องมีการแปล

14:28   “แต่ถ้าไม่มีใครแปลได้ ก็ให้เขาอยู่เงียบ ๆ ในที่ประชุม” (But if there is no one to interpret, let each of them keep silent in church) = พูดเป็นนัย ๆ ว่า คนที่พูดภาษาแปลก ๆ ในคริสตจักรต้องแน่ใจว่า มีคนแปลได้จึงค่อยพูด

14:29   “ให้พวกผู้เผยพระวจนะพูดได้สองหรือสามคน” (Let two or three prophets speak) = ให้พูดได้         ทีละคน (ข.31) เช่นเดียวกับผู้ที่พูดภาษาแปลก ๆ (ข.27)

“ให้คนอื่น ๆ วินิจฉัยสิ่งที่พูด” ( let the others weigh what is said)= ให้คนอื่น ๆ ไตร่ตรองสิ่งที่เขาพูด หรือพิจารณาตัดสินว่า สิ่งที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวนั้น เชื่อถือได้หรือไม่? (ข.32)

14:30   “การทรงสำแดง” ( revelation ) = การเผยพระวจนะในบทที่ 12-14 นี้ อาจมาทางสมาชิกคริสตจักรคนใดก็ได้ (ข.26,29-31) และอาจมีจุดประสงค์ในการสื่อสารบุคคลใดบุคคลหนึ่งในสถานการณ์ใดก็ได้

“การทรงสำแดง” นี้อาจประกอบด้วยคำพยากรณ์ (อากาบัส ใน กจ.11:28;21:10-11) พระบัญชาของพระเจ้า (กจ.13:1-2) หรือข้อความที่เสริมสร้าง ให้กำลังใจ หรือประเล้าประโลมใจ (ข.3)

14:32   “ย่อมอยู่ในบังคับของพวกผู้เผยพระวจนะ” (the spirits of prophets are subject to prophets.)        = การเผยพระวจนะก็เช่นเดียวกับการพูดภาษาแปลก ๆ ไม่ใช่ภาวะของอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ อ.เปาโลเน้นว่าผู้ใช้ของประทานเหล่านี้ควรควบคุมตัวเองได้ ( ข.15,26-32,27-29)

14:33   “ไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย” (God is not a God of confusion) –อ.เปาโล เป็นห่วงว่า การนมัสการที่ไร้ระเบียบ และวุ่นวายในคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ จะนำความเสื่อมเสียมาสู่พระนามของพระเจ้า ผู้ทรงเรียกพวกเขาให้มีสันติสุขและความเป็นหนึ่งเดียวกันผ่านทางพระเยซูคริสต์

“ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติ” (but of peace) = เป็นพระเจ้าแห่งความสงบสุข (1ธส.5:23)

“ดังที่เป็นอยู่ในคริสตจักรทุกแห่งของธรรมิกชน” (in all the churches of the saints )   = อาจแปลว่า “ในที่ประชุมทั้งปวงของประชากรของพระเจ้า” (อมตธรรม) = สำนวนที่ใช้ในพันธสัญญาใหม่ที่เน้นความเป็นสากล และความเป็นหนึ่งเดียวของคริสตจักรของพระเจ้าในโลกนี้ เป็นคริสตจักรสากลซึ่งสามารถมองเห็นได้ และต้องปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัตินี้ด้วยความเชื่อฟัง

14:34-35 –พระเจ้าสถาปนาการทรงสร้างตามลำดับ ดังนั้น เราต้องบริหารและใช้สิทธิอำนาจตามการออกแบบนั้น ผู้หญิงจึงสมควรยอมฟังสามี ทั้งที่บ้าน (อฟ.5:22) ในคริสตจักร (ข.34;1ทธ.2:11-12) และในที่สาธารณะโดยทั่วไป โดยให้ถือเป็นระเบียบปฏิบัติสากล (11:5-6)

-อ.เปาโลเชื่อว่า หากผู้เชื่อทุกคนใช้ของประทานฝ่ายจิตวิญญาณที่ตนมีในวิถีที่เคารพนับถือต่อกันและ     ยำเกรงพระเจ้า คริสตจักรจะเข้มแข็งขึ้น และการเคารพนับถือนี้ต้องสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติในสังคมที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่ในเวลานั้น ๆ

อย่างเช่น ในกรณีนี้ ในเวลานั้นการที่ผู้หญิงจะแสดงออกในการใช้สิทธิ์อย่างเต็มที่นั้น ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในสังคม จึงถือว่าเป็นที่น่าอับอายและไม่พึงกระทำ (ข.35) เพราะเป็นการไม่แสดงความเคารพประเพณีวัฒนธรรมของคนที่อยู่ร่วมกัน

ในกรณีเช่นนี้ ผู้หญิงควรจะอยู่เงียบ ๆ และแสดงออกในบางโอกาสที่เปิดให้

-อาทิ ใน 1คร.11: 5 – อ.เปาโลคาดหวังให้ผู้หญิงอธิษฐาน และเผยพระวจนะในที่ประชุมนมัสการ

-ในตอนนี้ อ.เปาโลจึงไม่ได้กำลังกำจัดบทบาทของผู้หญิง แต่เป็นการกำหนดทิศทางของการนมัสการให้เหมาะสม และเป็นระเบียบ (ข.40,34-35,27-31) ในวัฒนธรรมประเพณีที่พวกเขาอยู่ร่วม

-ในบริบทนี้ ผู้หญิงต่างพูดคุยหรือวิพากษ์วิจารณ์ถามไถ่กันเสียงดัง ในระหว่างที่มีการนมัสการ (มีการพูดเผยพระวจนะ และพูดภาษาแปลก ๆ ) อ.เปาโลจึงกำชับให้ไปพูดคุยกันกับสามีที่บ้าน (ข.35) แต่ อ.เปาโลไม่ได้ห้ามผู้หญิงพูดในคริสตจักรอย่างสิ้นเชิง (11:5) แต่ท่านห้ามพูดจากันวุ่นวายอย่างที่เห็นในข้อเหล่านี้

14:34   “เหมือนที่ธรรมบัญญัติกล่าวไว้” (as the Law also says ) ปท.กับ ปฐก.3:16;1ปต.3:16

14:36   “พระวจนะของพระเจ้าเกิดมาจากพวกท่านหรือ? พระวจนะมาถึงท่านพวกเดียวหรือ?” (Or was it from you that the word of God came? Or are you the only ones it has reached?

= อ.เปาโลกำลังถามแบบไม่ต้องการคำตอบ และถามในทำนองเสียดสีเล็ก ๆ เพื่อสะกิดเตือนพวกเขาให้สำนึกว่า พวกเขาทำตามใจและตามทางของตนเองแทนที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า

14:37   “เป็นบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (a command of the Lord) = อ.เปาโลกล่าวยืนยันว่า ผู้ที่มีของประทานอย่างแท้จริงจะตระหนักถึงสิทธิอำนาจของอัครฑูตอย่างที่ท่านมีนั้นมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คำสั่งของท่านจึงเป็นบัญชาจากพระเจ้าที่สมควรปฏิบัติตาม

14:38   “และถ้าใครไม่เอาใจใส่ข้อความนี้ คนนั้นก็จะไม่ได้รับการเอาใจใส่”(If anyone does not recognize this, he is not recognized.) = ตัวเขาจะถูกละเลยโดยเปาโล และคริสตจักร รวมทั้งโดยพระเจ้า

14:39  “พี่น้องทั้งหลาย” (my brothers) –รม.1:13;กจ.1:14-16

“ส่วนการพูดภาษาแปลก ๆ นั้นก็อย่าห้ามเลย” (do not forbid speaking in tongues) = เปาโลไม่ได้ต่อต้านการพูดภาษาแปลก ๆ แต่พยายามแก้ไขให้พวกเขาใช้ภาษาแปลกๆ ในฐานะของประทานอย่างถูกต้องเหมาะสม

14:40   “แต่จงให้ทุกสิ่งมีความเหมาะสมและเป็นระเบียบเถิด” (But all things should be done decently)

= ให้เป็นไปตามที่ได้กำชับไว้ใน 14:26-35

 

15:2     “ถ้าท่านยังยึดมั่น” (if you hold) –ฮบ.3:14

“นอกจากว่า ท่านเชื่อแบบไร้ผล” (unless you believed in vain) = เชื่อโดยเปล่าประโยชน์ ความเชื่อในข่าวประเสริฐที่จริงใจเป็นความหวังเดียวที่คนบาปได้รับการไถ่บาปและได้รับแผ่นดินสวรรค์เป็นมรดก (ข.50,53-57)

15:3     “เพราะว่า ข้าพเจ้าได้มอบเรื่องสำคัญที่สุดที่ได้รับมานั้นแก่พวกท่าน” (I delivered to you as of first importance what I also received) = เปาโลอธิบายถึงประเพณีนิยมในการรับและส่งต่อข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจของข่าวประเสริฐ คือพระคริสต์ถูกตรึงสิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา (ฮบ.7:27;     1คร.1:23) ถูกฝัง(ตายจริง ๆ) และเป็นขึ้นจากตาย (15:20) ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์มาล่วงหน้า  (อสย.53:5-6,11-12)

15:4     “แล้ววันที่ 3” (on the third day) –ปท.มธ.12:40

-คนยิวนับเศษของวันเป็นหนึ่งวัน ดั้งนั้น 3 วันในที่นี้ = บ่ายวันศุกร์ + เสาร์ทั้งวัน + เช้าวันอาทิตย์ (ปท.ยน.20:26; สัปดาห์ต่อมา = แปดวันต่อมา = นับ 2 วันอาทิตย์

“ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์” (in accordance with the Scriptures) –ปท. สดด.16:8-11;อสย.53:10-12; ปท. ฮยช.6:2;ยนา 1:17

15:5-8 –พระเยซูคริสต์ทรงปรากฏตัว 6 ครั้งหลังจากเป็นขึ้นมาจากความตาย

15:5     “…เคฟาส แล้วต่ออัครทูตสิบสองตน” (…Cephas, then to the twelve ) –การปรากฏแก่เคฟาส

(หรือเปโตร) เป็นครั้งเดียวกับ ลก.24:34 ในเช้าวันอาทิตย์อีสเตอร์ และเป็นวันอาทิตย์ปรากฏต่อสาวก 12 คน (ลก.24:36-43;ยน.20:19-23)

“คำว่าอัครทูต 12 คน” ในที่นี้ หมายถึงอัครทูตกลุ่มแรกแม้ว่า ยูดาสจะไม่อยู่แล้วก็ตาม

15:6     “ทรงปรากฏต่อพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในเวลาเดียวกัน” (appeared to more than five hundred brothers at one time) = อาจเป็นครั้งเดียวกันกับที่กาลิลี (มธ.28:10,16-20) ซึ่งสาวก 11 คน หรือมากกว่านั้นได้พบกับพระเยซูคริสต์ หลังจากทรงเป็นขึ้นจากตาย

“บ้างก็ล่วงหลับไปแล้ว” (some have fallen asleep) –ยน.11:11

15:7     “ยากอบ” (James) = น้องชายร่วมมารดาของพระเยซู (มธ.13:35) ไม่ใช่ยากอบบุตรเศเบดี หรือ ยากอบ บุตรอัลเฟอัส (มธ.10:2-3)

-ยากอบน้องชายพระเยซูนี้ เดิมไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ (ยน.1:5) ต่อมาเข้าร่วมกับอัครทูต (กจ.1:14) และต่อมากลายเป็นผู้นำคริสตจักรในเยรูซาเล็ม (กจ.15:13)

15:8     “หลังสุด” (Last of all) = ในท้ายที่สุดพระเยซูปรากฎต่อเปาโลใน กจ.9:1-8 ในประมาณปี ค.ศ. 33

“ผู้เป็นเหมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนด” (as to one untimely born) = คลอดผิดปกติ และกลับใจจากวิถีชีวิตเดิมแบบฉับพลัน (กจ.9:3-6)

15:9     “ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า” (I persecuted the church of God) –1ทธ.1:13; ซึ่งเท่ากับได้ข่มเหงองค์พระคริสต์ (กจ.9:4)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับบรรยากาศการนมัสการที่วุ่นวายบ้างหรือไม่? อย่างไร?(แบ่งปัน)
  2. คุณเคยสงสัยหรือสะดุดกับเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ใดมากที่สุด? แล้วคุณก้าวผ่านมาได้แล้วหรือยัง? (แบ่งปัน)
  3. คุณเข้าใจข้อพระธรรมที่ว่า “พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติ” อย่างไรบ้าง ? แบ่งปัน? และคุณนำมาปฏิบัติใช้จริงได้อย่างไร?
  4. ปกติผู้หญิงในโบสถ์ของคุณค่อนข้างเงียบ ๆ หรือพูดมากในการนมัสการพระเจ้าของคริสตจักรคุณ? มีปัญหาอะไรที่พึงแก้ไขบ้างหรือไม่? ทำไม?
  5. คุณคิดว่า อ.เปาโลเป็นพวกกดขี่ทางเพศหรือไม่ ในการสั่งให้ผู้หญิง “อยู่เงียบ ๆ ในคริสตจักร”? ทำไม?
  6. บทบาทที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงในคริสตจักรคืออะไร?

…..1) เทศนา (สั่งสอน)
…..2) สอน

…..3) นำนมัสการ

…..4) นำประชุม

…..5) บริหารคริสตจักร

…..6) ให้กำลังใจ

…..7) ให้คำปรึกษาแนะนำ

…..8) ช่วยเหลือ

…..9) เป็นพี่เลี้ยง

….10) อื่น ๆ ………………………………..

ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?

  1. คุณเชื่อในข่าวประเสริฐจริง ๆ หรือไม่? มีอะไรเป็นตัวพิสูจน์ยืนยันว่า คุณเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ ? (แบ่งปัน)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.