ความรัก
พระธรรม 1โครินธ์ 13:1-13
อ้างอิง 1คร.14:2;1คร.12:9;8:2;5:2;2คร.8:7;มก.16:17;สดด.131:2;สภษ.10:12;17:9;กจ.11:27;2:45;2ยน.4; 3ยน.3,4
บทนำ ความรักเป็นคำที่คนพูดกันมากที่สุด แต่กลับมีอยู่ในการครอบครองน้อยที่สุด
เป็นสิ่งที่คนอยากได้มากที่สุด แต่กลับมอบให้แก่กันน้อยที่สุด
เวลานี้ คุณมีความรักดังที่กล่าวนี้ไหม?
บทเรียน
13:1 “แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆ ที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง”
(If I speak in the tongues of men and of angels, but have not love, I am a noisy gong or a clanging cymbal.)
13:2 “แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย”
(And if I have prophetic powers, and understand all mysteries and all knowledge, and if I have all faith, so as to remove mountains, but have not love, I am nothing. )
13:3 “แม้ข้าพเจ้าจะบริจาคสิ่งของของข้าพเจ้าทุกอย่างหรือยอมให้เอาตัวไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับข้าพเจ้า”
(If I give away all I have, and if I deliver up my body to be burned, but have not love, I gain nothing.)
13:4 “ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง”
( Love is patient and kind; love does not envy or boast; it is not arrogant )
13:5 “ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด”
(or rude. It does not insist on its own way; it is not irritable or resentful;)
13:6 “ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง”
(it does not rejoice at wrongdoing, but rejoices with the truth. )
13:7 “ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ”
(Love bears all things, believes all things, hopes all things, endures all things.)
13:8 “ความรักไม่มีวันเสื่อมสูญ แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสลายไป แม้การพูดภาษาแปลกๆ ก็จะเลิกพูดกันแม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสลายไป”
(Love never ends. As for prophecies, they will pass away; as for tongues, they will cease; as for knowledge, it will pass away.)
13:9 “เพราะว่าเรารู้เพียงบางส่วน และก็เผยพระวจนะเพียงบางส่วน”
(For we know in part and we prophesy in part, )
13:10 “แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ที่เป็นเพียงบางส่วนนั้นก็จะสูญไป”
(but when the perfect comes, the partial will pass away. )
13:11 “เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก หาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการของเด็ก”
(When I was a child, I spoke like a child, I thought like a child, I reasoned like a child. When I became a man, I gave up childish ways.)
13:12 “เพราะว่าเวลานี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นจะเห็นแบบหน้าต่อหน้า เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า”
(For now we see in a mirror dimly, but then face to face. Now I know in part; then I shall know fully, even as I have been fully known.)
13:13 “และบัดนี้ ทั้งสามสิ่งนี้ยังดำรงอยู่ คือความเชื่อ ความหวังและความรัก แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุดในสามสิ่งนี้
(So now faith, hope, and love abide, these three; but the greatest of these is love.)
ข้อมูลมีประโยชน์
13:1 “ภาษาแปลก ๆ “ (the tongues) –มก.16:17;1คร.13:8
“ภาษามนุษย์ หรือทูตสวรรค์” (of men and of angels) = อาจเป็นการเปรียบเทียบโดยใช้ภาษาเกินจริงคือ ต่อให้เราสามารถพูดภาษาต่างๆ ของมนุษย์ได้ รวมทั้งภาษาฑูตสวรรค์ก็พูดได้ด้วย แต่ไม่ได้พูดด้วยความรัก ก็ไม่มีค่าอะไร มีแต่แค่เสียงเท่านั้น
“ความรัก” (love ) = การสละความเห็นแก่ตัวเพื่อสวัสดิภาพของผู้อื่นเหมือนที่พระเยซูคริสต์กระทำบนไม้กางเขน (ยน.3:16;13:34-35;อฟ.5:25;1ยน.3:16)
13:2 “ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น” (understand all mysteries) = เปาโลอาจใช้ภาษาเปรียบเทียบเกินจริงอีกครั้ง เพื่อแสดงถึงขอบเขตของความเข้าใจ คนเราอาจมีความรู้ที่ไม่จำกัด แต่ถ้าไม่ได้ครอบครองและใช้ด้วยความรัก เขาก็ไม่มีค่าอะไรเลย
“ความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้” (all faith, so as to remove mountains)= อีกครั้งที่ อ.เปาโลใช้ภาษาเกินจริง เพื่อให้เห็นภาพความสามารถพิเศษในการวางใจพระเจ้าเพื่อเอาชนะอุปสรรคที่หวาดกลัวหรืออุปสรรคขัดขวางขนาดใหญ่ (ปท. ศคย.4:7;มธ.17:20)
13:3 “ยอมให้เอาตัวไปเผาไฟ” (my body to be burned) = การยอมพลีโดยยอมให้เอาตัวเองไปเผาไฟ เหมือนบรรพชนแห่งความเชื่อในยุคแรกที่ประสบ แม้เป็นการเสียสละขั้นสูงสุด แต่หากไม่ได้เกิดจากความรักก็ไร้ประโยชน์
13:1-3 –จะเห็นได้ว่า ใน 3 ข้อนี้ กล่าวถึงตัวอย่างของประทาน 4 อย่าง คือ “ภาษาแปลก ๆ …เผยพระวจนะ…ความเชื่อ…บริจาค(ให้)” และประกาศว่า แม้จะเป็นของประทานหรือการสำแดงที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้า แต่จะไม่มีค่าอะไรเลย หากไม่มีความรักเป็นแรงจูงใจในการกระทำสิ่งเหล่านั้น
13:4-7 = คำอธิบายถึงความรักในเชิงบวก และเชิงลบ
13:4 “ไม่หยิ่งผยอง” (not arrogant) –8:1 , กล่าวถึงความรู้ทำให้หยิ่งผยอง แต่ความรักจะทำให้เราถ่อมใจลง
13:5 “ไม่หยาบคาย” (rude) =อาจเป็นการพูดอ้อมถึงการนมัสการที่ปราศจากระเบียบ ตามใจของพวกเขา (11:18-22)
13:6 “ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม” ( not rejoice at wrongdoing) = ไม่ยินดีในความชั่ว เหมือนที่พวกเขาบางคนทำในบทที่ 5 – ปท. 2ธส.2:12
“แต่ชื่นชมยินดีในความจริง” (rejoices with the truth) –2ยน.4;3ยน.3,4
13:7 “ความรักทนได้ทุกอย่าง”(Love bears all things)=ในบางฉบับแปลว่า ความรักปกป้องคุ้มครองอยู่เสมอ
“เชื่ออยู่เสมอ” (believes all things) = วางใจอยู่เสมอ
“ทรหดอดทนอยู่เสมอ” (endures all things) = อดทนบากบั่นอยู่เสมอ –1คร.13:8,13
13:8 “ไม่มีวันเสื่อมสูญ” (never ends) = ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันถูกแทนที่ด้วยสิ่งใด (ข.13)
“การเผยพระวจนะ…การพูดภาษาแปลก ๆ …วิชาความรู้” (As for prophecies… as for tongues… as for knowledge) = ทั้ง 3 สิ่งนี้ จะสิ้นสุดเพราะถูกจำกัดโดยธรรมชาติ (ข.9) และไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปเมื่อความสมบูรณ์มาถึง (ข.10) –1คร.13:1-2;1คร.8:2
13:9 “รู้เพียงบางส่วน” (know in part ) –1คร.8:2;13:12
13:10 “เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว” (when the perfect comes) = ความสมบูรณ์พร้อม , ในภาษากรีกคำนี้
= “จบสิ้น” หรือ “บรรลุผลสำเร็จ”, (เป็นผู้ใหญ่) หรือ “สมบูรณ์” ปท. ข้อ 12 ;ฟป.3:12 =ดูเหมือนว่า เปาโลกำลังพูดถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูคริสต์
13:11 “อาการของเด็ก” ( was a child) = วิถีทางอย่างเด็ก –สดด.131:2
13:12 “เห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก” ( see in a mirror dimly) = กระจกในสมัยนั้น ทำมาจากโลหะขัดมัน (อาจเป็นสัมฤทธิ์) ซึ่งเงาสะท้อนไม่ชัดเหมือนกระจกสมัยนี้ ( ปท. ยก.1:23) –โยบ 26:14;36:26
“จะเห็นแบบหน้าต่อหน้า” (face to face) –ปฐก.32:20;โยบ 19:26;1ยน.3:2
“รู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า” (know fully, even as I have been fully known) = คริสเตียนจะรู้จักพระเยซูคริสต์อย่างเต็มที่แจ่มแจ้งอย่างไม่มีทางจำกัด เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา
13:13 “ยังดำรงอยู่” (So now ) = อยู่ในบัดนี้และตลอดไป
“ความเชื่อ ความหวัง และความรัก” (faith, hope, and love) –1ธส.1:3;รม.5:2-5;กท.5:5;อฟ.4:2-5; คส.1:4-5;1ธส.1:3;5:8;ฮบ.6:10-12
“แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุด” (but the greatest of these is love) –เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก
(1ยน.4:8) และพระเจ้าบัญชาให้เรารักกันและกัน (ยน.13:34-35; ปท. รม.13:10;1คร.8:1;กท.5:6; อฟ.4:16;5:20;ฟป.1:9;คส.3:14;1ปต.4:8)
= ความรักเข้ามาแทนที่ของประทานต่าง ๆ เพราะว่าความรักยืนยงกว่าของประทานทุกอย่าง วันหนึ่งของประทานทั้งหลายที่ใฝ่หากันเหล่านี้ จะไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่ความรักยังคงเป็นหลักการสำคัญในทุกกิจกรรมที่พระเจ้าและคนของพระองค์กระทำ
คำถามนำอภิปราย
- คุณเคยสาละวนกับการวิ่งล่าหาของประทานบ้างไหม? แล้วคุณได้อะไรบ้าง?
- คุณเคยจัดลำดับของประทานว่า ของประทานใดสำคัญกว่าของประทานอื่น ๆ บ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร?
- คุณเคยทะเลาะหรือขัดแย้งกับผู้ใดเรื่องของประทานบ้างหรือไม่? คุณคิดว่าคุ้มค่าที่ทะเลาะกันไหม?
- หากให้คุณเลือกของประทานได้ตามใจคุณ คุณจะเลือกอะไร? ทำไม?
- คุณคิดว่าในคริสตจักรของคุณเวลานี้ ต้องการของประทานใดมากที่สุด? ทำไม?
- คุณลักษณะของความรักประการใดที่คุณขาดมากที่สุด? และส่งผลอะไรต่อคุณบ้าง?
- ใครเป็นคนที่มีคุณลักษณะของความรักดังกล่าวแบบใกล้เคียงมากที่สุดหรือครบถ้วนที่สุดที่คุณรู้จัก?
- “อาการของเด็ก”อะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวหรือคนในคริสตจักรของคุณ?
- เวลานี้ คุณคิดว่า คริสตจักรของคุณต้องการคุณลักษณะของความรักมากที่สุด? ทำไม?
- คุณคิดว่า ทำไมความรักจึงสำคัญที่สุด?
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-
twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer