นมัสการและมหาสนิท
พระธรรม 1โครินธ์ 11:1-34
อ้างอิง 1คร.4:16;ฟป.3:17;ปฐก.1:26-27;2:18-23;อพย.24:6-8;ยรม.31:31-34
บทนำ เราต้องทำตามคำสอนในพระคัมภีร์ที่มีพระเยซูคริสต์กับสาวกของพระองค์เป็นแบบอย่างให้เราทำตาม!
บทเรียน
11:1 “ท่านทั้งหลายจงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า เหมือนกับที่ข้าพเจ้าทำตามแบบอย่างของพระคริสต์”
(Be imitators of me, as I am of Christ.)
11:2 “ข้าพเจ้าขอชมท่านทั้งหลายเพราะท่านระลึกถึงข้าพเจ้าในทุกเรื่อง และรักษาคำสอนสืบทอดต่างๆ ตามที่ข้าพเจ้ามอบไว้กับท่าน”
(Now I commend you because you remember me in everything and maintain the traditions even as I delivered them to you.)
11:3 “แต่ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านเข้าใจว่า พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชายทุกคน และชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าเป็นพระเศียรของพระคริสต์”
(But I want you to understand that the head of every man is Christ, the head of a wife is her husband, and the head of Christ is God. )
11:4 “ผู้ชายทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระวจนะโดยมีผ้าบนศีรษะ ก็ทำความอับอายแก่ศีรษะของเขา”
(Every man who prays or prophesies with his head covered dishonors his head, )
11:5 “แต่ผู้หญิงทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระวจนะโดยไม่คลุมศีรษะ ก็ทำความอับอายแก่ศีรษะของเธอ เพราะเหมือนกับว่าเธอได้โกนผมเสียแล้ว”
(but every wife who prays or prophesies with her head uncovered dishonors her head, since it is the same as if her head were shaven.)
11:6 “เพราะว่าถ้าผู้หญิงไม่คลุมศีรษะ ก็ควรจะตัดผมเสีย แต่ถ้าการตัดผมหรือโกนผมเป็นเรื่องน่าอับอายของผู้หญิง จงคลุมศีรษะเสีย”
(For if a wife will not cover her head, then she should cut her hair short. But since it is disgraceful for a wife to cut off her hair or shave her head, let her cover her head. )
11:7 “ผู้ชายไม่สมควรคลุมศีรษะเพราะว่าผู้ชายเป็นพระฉายาและพระรัศมีของพระเจ้า ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นรัศมีของผู้ชาย”
(For a man ought not to cover his head, since he is the image and glory of God, but woman is the glory of man. )
11:8 “(เพราะว่าผู้ชายไม่ได้มาจากผู้หญิง แต่ผู้หญิงมาจากผู้ชาย”
(For man was not made from woman, but woman from man.)
11:9 “และไม่ได้ทรงสร้างผู้ชายเนื่องเพราะผู้หญิง แต่ทรงสร้างผู้หญิงเนื่องเพราะผู้ชาย)”
(Neither was man created for woman, but woman for man.)
11:10 “เพราะเหตุนี้เอง ผู้หญิงจึงสมควรจะมีสัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจนี้อยู่บนศีรษะ เพราะเห็นแก่พวกทูตสวรรค์”
(That is why a wife ought to have a symbol of authority on her head, because of the angels.)
11:11 “(แต่อย่างไรก็ดี ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ชายก็ขาดผู้หญิงไม่ได้ และผู้หญิงก็ขาดผู้ชายไม่ได้”
(Nevertheless, in the Lord woman is not independent of man nor man of woman; )
11:12 “เพราะว่าเช่นเดียวกับที่ผู้หญิงมาจากผู้ชาย ผู้ชายก็มาโดยผู้หญิงเช่นกัน แต่ทุกสิ่งก็มาจากพระเจ้า)”
(for as woman was made from man, so man is now born of woman. And all things are from God.)
11:13 “ท่านทั้งหลายจงตัดสินเองว่า การที่ผู้หญิงไม่คลุมศีรษะเมื่ออธิษฐานต่อพระเจ้านั้นสมควรหรือ?”
(Judge for yourselves: is it proper for a wife to pray to God with her head uncovered? )
11:14 “ธรรมชาติเองก็สอนท่านว่า ถ้าผู้ชายไว้ผมยาวก็เป็นเรื่องน่าอายของเขาไม่ใช่หรือ?”
(Does not nature itself teach you that if a man wears long hair it is a disgrace for him,)
11:15 “แต่ถ้าผู้หญิงไว้ผมยาวก็เป็นศักดิ์ศรีของเธอ เพราะว่าผมเป็นสิ่งที่ประทานให้แก่เธอเพื่อคลุมศีรษะ”
(but if a woman has long hair, it is her glory? For her hair is given to her for a covering.
11:16 “แต่ถ้าใครคิดจะโต้แย้ง เราและคริสตจักรต่างๆ ของพระเจ้าก็ไม่รับธรรมเนียมดังกล่าวนี้”
(If anyone is inclined to be contentious, we have no such practice, nor do the churches of God.)
11:17 “ในการกำชับต่อไปนี้ ข้าพเจ้าชมพวกท่านไม่ได้ คือว่าการชุมนุมกันของท่านมักจะได้ผลเสียมากกว่าผลดี”
(But in the following instructions I do not commend you, because when you come together it is not for the better but for the worse. )
11:18 “ประการแรก ข้าพเจ้าได้ยินว่า เมื่อมาชุมนุมกันในคริสตจักร พวกท่านมีการแตกแยกกัน และข้าพเจ้าเชื่อว่าคงมีส่วนที่เป็นจริง”
(For, in the first place, when you come together as a church, I hear that there are divisions among you. And I believe it in part,)
11:19 “เพราะจะต้องมีการขัดแย้งกันในพวกท่าน เพื่อฝ่ายถูกในพวกท่านจะปรากฎ”
(for there must be factions among you in order that those who are genuine among you may be recognized.)
11:20 “เมื่อท่านทั้งหลายมาชุมนุมพร้อมกันนั้น จึงไม่ใช่การกินในงานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
(When you come together, it is not the Lord’s supper that you eat.)
11:21 “เพราะว่าในการกินอาหารนั้น แต่ละคนต่างกินอาหารของตนก่อน บ้างก็ยังหิวอยู่ และบ้างก็เมา”
(For in eating, each one goes ahead with his own meal. One goes hungry, another gets drunk.)
11:22 “อะไรกันนี่ พวกท่านไม่มีบ้านที่จะกินและดื่มหรือ? หรือว่าท่านดูหมิ่นคริสตจักรของพระเจ้า และสร้างความอับอายให้กับคนที่ขัดสน จะให้ข้าพเจ้าพูดอย่างไร? จะให้ชมพวกท่านหรือ? ข้าพเจ้าไม่ขอชมท่านในเรื่องนี้เลย”
(What! Do you not have houses to eat and drink in? Or do you despise the church of God and humiliate those who have nothing? What shall I say to you? Shall I commend you in this? No, I will not.)
11:23 “เพราะว่าเรื่องซึ่งข้าพเจ้ามอบไว้กับพวกท่านนั้น ข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงหยิบขนมปัง”
(For I received from the Lord what I also delivered to you, that the Lord Jesus on the night when he was betrayed took bread,)
11:24 “เมื่อขอบพระคุณแล้วจึงทรงหัก และตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา”
(and when he had given thanks, he broke it, and said, “This is my body which is for you. Do this in remembrance of me.”)
11:25 “หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา จงทำอย่างนี้ คือเมื่อใดที่พวกท่านดื่มจากถ้วยนี้ จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา”
(In the same way also he took the cup, after supper, saying, “This cup is the new covenant in my blood. Do this, as often as you drink it, in remembrance of me.” )
11:26 “เพราะว่าเมื่อใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา”
(For as often as you eat this bread and drink the cup, you proclaim the Lord’s death until he comes.)
11:27 “ฉะนั้นถ้าใครกินขนมปัง หรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่เหมาะสม เขาก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
(Whoever, therefore, eats the bread or drinks the cup of the Lord in an unworthy manner will be guilty concerning the body and blood of the Lord. )
11:28 “ทุกคนจงสำรวจตัวเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้”
(Let a person examine himself, then, and so eat of the bread and drink of the cup.)
11:29 “เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยไม่ได้ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกลงโทษ”
(For anyone who eats and drinks without discerning the body eats and drinks judgment on himself.)
11:30 “เพราะเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนแอและเจ็บป่วย และบ้างก็ล่วงหลับไป”
(That is why many of you are weak and ill, and some have died.)
11:31 “แต่ถ้าเราวินิจฉัยตัวเอง เราคงไม่ต้องถูกพิพากษา”
(But if we judged ourselves truly, we would not be judged. )
11:32 “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อไม่ให้เราถูกพิพากษาด้วยกันกับโลก”
(But when we are judged by the Lord, we are disciplined so that we may not be condemned along with the world.)
11:33 “ฉะนั้นพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายมาชุมนุมกันเพื่อรับประทานอาหารนั้น จงรอกันและกัน”
(So then, my brothers, when you come together to eat, wait for one another)
11:34 “ถ้ามีใครหิว ก็ให้กินที่บ้านก่อน เพื่อว่าเมื่อมาชุมนุมกัน พวกท่านจะไม่ถูกลงโทษ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น ข้าพเจ้าจะสั่งสอนเมื่อข้าพเจ้ามา”
(if anyone is hungry, let him eat at home—so that when you come together it will not be for judgment. About the other things I will give directions when I come.)
ข้อมูลมีประโยชน
11:1 “จงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า” ( Be imitators of me) –1คร.4:16;ฟป.3:17
อ.เปาโลทำตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ และเรียกร้องให้ทุกคนทำตามแบบอย่างของท่าน –1ปต.2:21
11:3-16 = ภาพของการวางตัวให้เหมาะสมในการนมัสการพระเจ้า อ.เปาโล เห็นว่าความสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างสามีภรรยา ควรสะท้อนออกมาในการประชุมนมัสการของคริสตจักรที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า (1คร.10:31)
11:3 “ศีรษะ” (the head ) –มีการตีความหลายอย่าง หมายถึง
- เกียรติ (ข.4-5) –เหมือนพระเยซูคริสต์ถวายเกียรติแด่พระบิดา ผู้ชายต้องถวายเกียรติแด่พระคริสต์ ผู้หญิงก็ต้องให้เกียรติสามี
- สิทธิอำนาจ (อฟ.1:21-22;5:22-23) ที่ต้องยอมเชื่อฟัง (คส.1:18;2:10)
-พระคริสต์มีสิทธิอำนาจเหนือผู้ชาย ผู้ชายต้องถวายพระเกียรติพระองค์ สามีอยู่ในตำแหน่งแห่งสิทธิอำนาจและภรรยาต้องยอมฟัง (15:28)
11:4 “ศีรษะ” (his head) –คำแรกที่ใช้ในข้อนี้ หมายถึง “ศีรษะ” ของผู้ชาย คำที่สอง หมายถึง “ศีรษะฝ่ายจิตวิญญาณ” (พระคริสต์) หรืออาจตั้งใจสื่อทั้งสองความหมาย
-ในสมัยของ อ.เปาโล มีวัฒนธรรมที่ผู้ชายไม่คลุมศีรษะในการนมัสการ เพื่อเป็นเครื่องหมายถึงการเคารพยำเกรงพระเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ชายอธิษฐาน หรือเผยพระวจนะ โดยการคลุมศีรษะ ก็เท่ากับว่า เขาไม่ให้เกียรติพระเจ้า
11:5-6 = เป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ผู้หญิงควรแสดงความเคารพนับถือ เชื่อฟังในสิทธิอำนาจของสามี โดยการคลุมศีรษะในขณะที่นมัสการพระเจ้าในที่สาธารณะ และดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้าด้วย
-โดยตามลำดับการทรงสร้าง ผู้ชายถูกสร้างก่อนจึงสมควรมีสิทธิ์อำนาจเหนือภรรยา (ข.7-9;1ทธ.2:11-14) ภรรยาถูกสร้างมาจากกายของผู้ชาย (ปฐก.2:12-24) เพื่ออยู่เคียงข้างเป็นผู้ช่วยและเป็นเพื่อนของเขา (ปฐก.2:20) และเธอต้องให้เกียรติสามี โดยยอมเชื่อฟังเขาในฐานะที่เป็นศีรษะของเธอ (ข.3)
11:10 “สัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจ” (have a symbol of authority) = สิทธิอำนาจของผู้ชายที่ผู้หญิงควรยอมรับ และแสดงออกผ่านการคลุมศีรษะ
-แต่บางคนตีความว่า หมายถึง สิทธิอำนาจของผู้หญิงที่มีฐานะร่วมปกครองกับผู้ชาย (ปฐก.1:26-27) บางคนถึงกับตีความว่า การคลุมศีรษะของผู้หญิงเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องให้พ้นจากอำนาจของทูตสวรรค์ที่ตกต่ำ
“พวกฑูตสวรรค์” (the angels) –ทูตสวรรค์สนใจในเรื่องชีวิตคริสเตียน รวมทั้งความรอดและการนมัสการ (อฟ.3:10)
11:13-14 “…สมควรหรือ? ธรรมชาติเองก็สอนท่านว่า” (..is it proper … Does not nature itself teach you that..) = ผู้เชื่อต้องสำรวจดูว่า การประพฤติของตนนั้น ให้เกียรติและสอดคล้องกับวัฒนธรรมที่ยอมรับกันอยู่หรือไม่?
11:16 “…เราและคริสตจักรต่าง ๆ ของพระเจ้าก็ไม่รับธรรมเนียมดังกล่าวนี้” (we have no such practice, nor do the churches of God) = ในสมัยของเปาโล คริสตจักรมีธรรมเนียมปฏิบัติในการนมัสการ คือ ผู้ชายไว้ผมสั้น และผู้หญิงไว้ผมยาว (ข.13-16)
11:17 “ชมพวกท่านไม่ได้” (I do not commend you) = แตกต่างจากในข้อ 2
11:18 “พวกท่านมีการแตกแยกกัน” (there are divisions among you) = เปาโลจัดการกับเรื่องแบ่งพรรคแบ่งพวกเช่นนี้มาส่วนหนึ่งแล้ว ใน 1:10-17
11:19 “…ต้องมีการขัดแย้งกันในพวกท่าน เพื่อฝ่ายถูก…จะปรากฏ” (… must be factions among you in order that those who are genuine among you may be recognized) -.ในฉบับอมตธรรมแปลว่า
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในพวกท่านย่อมมีข้อแตกต่างกัน เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายไหนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบด้วย”
= แม้ว่าความแตกแยกจะเป็นสิ่งไม่ดี แต่ก็มีผลดีอย่างหนึ่ง คือ ช่วยแยกแยะว่า ใครสัตย์ซื่อ และจริงใจใน
สายพระเนตรของพระเจ้า
11:20 “ไม่ใช่การกินในงานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ( it is not the Lord’s supper that you eat) = ถูกลบหลู่ เพราะความตะกละและการเลือกปฏิบัติ
11:21 “บ้างก็ยังหิว และบ้างก็เมา” (One goes hungry, another gets drunk) = คริสตจักรยุคแรกจัดงานแบบ “งานเลี้ยงผูกรัก” ที่เรียกว่า “อากาเป้” (2ปต.2:13;ยด 12) โดยแต่ละคนนำอาหารมาทานร่วมกันคนละอย่างสองอย่าง
ปกติคนรวยก็เอามามากหน่อย คนจนก็นำมาเท่าที่มี แต่เนื่องจากมีการแบ่งพรรคแบ่งพวก ทำให้คนรวยกินมากและคนจนไม่พอกินให้อิ่ม
11:22 “จะให้ชมพวกท่านหรือ?” (Shall I commend you in this?) ดูข้อ17
11:23-26 –ให้ลองเปรียบเทียบความคล้ายคลึงของสิ่งที่เปาโลเขียนในตอนนี้กับ มธ.26:26-29;มก.14:22-25 และ ลก.22:17-20
11:23 “ข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” (I received from the Lord ) = อาจได้รับจากคนที่เคยได้ยินมาจากพระเยซูอีกต่อหนึ่ง (15:3;7:10)
11:24 “เมื่อขอบคุณพระเจ้าแล้ว” (when he had given thanks ) = ธรรมเนียมปฏิบัติของคนยิวเวลารับประทานอาหารจะขอบคุณพระเจ้า
“พิธีมหาสนิท” เดิมเรียกว่า “Eucharist” แปลว่า “การขอบพระคุณ”
“นี่เป็นกายของเรา” (This is my body) = ขนมปังที่ถูกหักออกมาเป็นสัญลักษณ์ของพระกายของพระเยซูคริสต์ซึ่งสละเพื่อไถ่บาปเรา (ลก.22:19)
“จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา” (Do this in remembrance of me ) = เหมือนที่เทศกาลปัสกา เป็นมื้ออาหารที่รำลึกถึงการไถ่ชาวอิสราเอล โดยลูกแกะต้องถูกฆ่าตาย (อพย.12:14)
อาหารเย็นมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์กับสาวกก็เป็นมื้ออาหารที่รำลึกถึงการตายของพระเยซูคริสต์ เพื่อไถ่บาปของมนุษย์เช่นกัน
11:25 “หลังจากรับประทานอาหารแล้ว” (after supper) = หลังอาหารมื้อปัสกา พระเยซูทรงเริ่มต้นการฉลองพิธีมหาสนิทเป็นครั้งแรก โดยโยงให้เกี่ยวข้องกับมื้ออาหารปัสกา (ปท. มธ.26:18-30)
“ถ้วย” ( cup) = เป็นเครื่องหมายของพันธสัญญาใหม่ผ่านทางโลหิตของพระเยซูคริสต์ (มก.14:24; ลก.22:20;ยรม.31:31-34) โดยมีพันธสัญญาเดิม คือ พันธสัญญาของโมเสส (หรือพันธสัญญาที่ซีนาย)
–อยพ.24:3-8)
-การใช้ถ้วยเป็นเครื่องหมายของพันธสัญญานี้ สื่อถึงการประทานความรอดของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์ ซึ่งประทับตราด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งไหลออกมา
11:26 “เมื่อใดที่พวกท่านกินขนมปัง และดื่มจากถ้วยนี้” (often as you eat this bread and drink the cup) = คำแนะนำให้มีการจัดทำพิธีนี้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
“ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”(you proclaim the Lord’s death) = ไม่มีการทำพิธีมหาสนิท โดยไม่ประกาศเรื่องการที่พระคริสต์ทรงถูกตรึงตายไถ่บาปเรา (1:23;2:2)
“จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา” ( until he comes) – มธ.26:29
11:27 “อย่างไม่เหมาะสม” (unworthy manner ) = อย่างไม่สมควรคือ ไม่เคารพยำเกรง และเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เป็นท่าทีของหลายคนที่รับประทานในงานเลี้ยงผูกรัก(อากาเป้) อย่างวุ่นวายไร้ระเบียบ (ข้อ20-22)
11:28 “ทุกคนจงสำรวจตัวเอง” (Let a person examine himself) = ต้องตรวจสอบท่าทีในใจและการกระทำของตัวเอง รวมถึงระลึกถึงความสำคัญของพิธีมหาสนิท พิธีจึงจะมีความหมายฝ่ายจิตวิญญาณที่แสดงถึงพระคุณของพระเจ้า
11:29 “โดยไม่ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (without discerning the body)
“พระกาย” ในที่นี้อาจมีความหมาย
- พระกายของพระเยซูคริสต์จริง ๆ
- คริสตจักรในฐานะพระกายของพระเยซูคริสต์ (12:13,27)
-ในกรณีแรกหมายความว่า มีบางคนรับพิธีมหาสนิทโดยไม่ระลึกถึงพระกายของพระเยซูคริสต์ ที่ถูกตรึงตายไถ่บาปของเขา
ในกรณีที่สองหมายความว่า ผู้เข้าร่วมพิธีนี้ ไม่ตระหนักว่า คริสตจักรคือ พระกายของพระเยซูคริสต์ ทำให้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง (ตามข้อ 20-21)
“เป็นเหตุให้ตนเองถูกลงโทษ” (judgment on himself) –ไม่ใช่การลงโทษโดยการพิพากษานิรันดร์ของพระเจ้าที่มีต่อผู้ที่ไม่เชื่อ และไม่รับการช่วยเหลือของพระเยซูคริสต์ แต่เป็นการตีสอนของพระเจ้าที่ทำให้เจ็บป่วยหรือตายต่อผู้เชื่อแล้ว (ข.30)
11:30 “ล่วงหลับไป” (died) –ยน.11:11
11:32 “ตีสอน” (judged) = พระเจ้าตีสอนเราในฐานะที่เราเป็นบุตรจากการไถ่ เสมือนบิดาตีสอนบุตร (ฮบ.12:5-11)
11:33 “ชุมนุมกันเพื่อรับประทานอาหารนั้น” ( come together to eat) = งานเลี้ยงสังสรรค์ผูกรักแบบอากาเป้ (ข.21) ที่ทุกคนควรรู้จักสำรวมและบังคับตนเองให้รู้จักรอรับประทานพร้อมคนอื่น ดังนั้น ถ้าผู้ใดหิวมากก็ควรรับประทานอาหารจากที่บ้านให้อิ่มก่อน เพื่อจะไม่แสดงความเห็นแก่ตัวและการเลือกปฏิบัติในคริสตจักร (ข.34)
คำถามนำอภิปราย
- มีอะไรบ้างที่คุณปฏิบัติตามแบบอย่างของพระคริสต์และสามารถเป็นแบบอย่างให้คนอื่นปฏิบัติตามตัวของคุณ?
- มีเรื่องอะไรบ้างที่คุณกระทำแล้ว เป็นเรื่องที่พระเจ้าและคนในคริสตจักรชมเชยได้? (แบ่งปัน)
- มีธรรมเนียมปฏิบัติอะไรของคริสตจักรที่สืบทอดกันมาที่มักถูกละเลยในคริสตจักรของคุณ? ทำไม?
- คุณเคยละเลยหรือขัดขืนหรือปฏิเสธในทางปฏิบัติตนตามธรรมเนียมประเพณีของคริสตจักรบางอย่างที่สืบทอดกันมาบ้าง? ทำไม?
- คุณยอมรับคำสอนเรื่องที่ให้ผู้หญิงต้องยอมรับสิทธิอำนาจของผู้ชายได้หรือไม่? ทำไม?
- มีธรรมเนียมปฏิบัติเรื่องอะไรของคริสตจักรที่คุณอยากล้มเลิก ทำไม?
- มีธรรมเนียมปฏิบัติเรื่องอะไรในคริสตจักรที่คุณคิดว่า ควรรักษาไว้? เพราะอะไร?
- มีพิธีมหาสนิทครั้งใดที่มีความหมายต่อคุณมากที่สุด? ทำไม?
- คุณเคยมีประสบการณ์หรือปัญหาเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติหรือการแสดงความเห็นแก่ตัวกันในคริสตจักรจนคุณรับไม่ได้บ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
- คุณเคยเข้าร่วมพิธีมหาสนิทโดยไม่ระลึกถึง “พระกาย” ของพระคริสต์บ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร?
ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์