อาดัม ซิมเบลอร์ (Adam Zimbler) เคยกล่าวไว้เป็นข้อควรคิดว่า…
“คนที่ไม่เคยมีความสุข คือคนที่บ่นได้ในทุกเรื่องในขณะที่ตื่น และในขณะที่หลับ ก็กำลังคิดว่าจะบ่นเรื่องอะไรดีเกี่ยวกับวันพรุ่งนี้ !”
(People who never achieve happiness are the ones who complain whenever they’re awake,
and whenever they’re asleep, they are thinking about what to complain about tomorrow.)
เมื่อก่อนผมเป็นคนชอบบ่น เดี๋ยวนี้บ่นน้อยลง แต่ก็ยังบ่นอยู่!
เมื่อผมนั่งคิดนั่งพิจารณาดูก็พบสัจธรรมว่า การบ่นของผมไม่เคยทำให้ผู้ใดมีความสุข ทั้งต่อตัวเอง และต่อคนที่ได้ยินผมบ่น ผมจึงต้องบังคับตัวเองให้ไม่บ่น!
คนที่ชอบบ่นคือคนที่มองอะไรก็หาเรื่องบ่นได้เสมอ
บ่นเรื่องปากท้องก็บ่นได้! บ่นเรื่องการทำงานกับผู้อื่นก็บ่นได้!
บ่นเรื่องความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวก็บ่นได้!
บ่นเรื่องการถูกเตือนถูกสอนก็บ่นได้! บ่นเรื่องภาวะโลกร้อนก็บ่นได้!
บ่นเรื่องการบ้านการเมืองร้อนแรงก็บ่นได้! บ่นเรื่องการจราจรจราจลก็บ่นได้!
บ่นเรื่องคนแต่งตัวไม่ถูกตาหรือพูดไม่ถูกหูก็บ่นได้!
หรือแม้แต่อ่านบทความนี้แล้วไม่ถูกใจก็ยังบ่นได้เช่นกัน!
“การบ่น” ถือว่าอยู่ในระดับต้น ๆ ในรายการของสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจ!
พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยเมื่อคนของพระเจ้าบ่นต่อว่าพระเจ้า!
“เราจะทนชุมนุมชนชั่วร้ายนี้บ่นต่อเรานานสักเท่าใด เราได้ยินเสียงบ่นของคนอิสราเอลซึ่งเขาบ่นว่าเรา”
(กดว.14:27)
พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยเมื่อมีคนบ่นต่อว่าคนที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งหรือมอบหมายให้ทำหน้าที่เพื่อพระองค์ เพราะเปรียบเสมือนการบ่นต่อว่าพระองค์โดยตรง!
“ในเวลาเช้าพวกท่านจะได้เห็นพระสิริแห่งพระเจ้า เพราะคำบ่นต่อว่าของพวกท่านต่อพระเจ้าทราบถึงพระองค์แล้ว เราทั้งสองเป็นผู้ใดเล่า พวกท่านจึงมาบ่นต่อว่าเรา”… เพราะพระเจ้าทรงทราบคำบ่นของท่านต่อพระองค์ เราทั้งสองนี้เป็นผู้ใดเล่า พวกท่านมิได้บ่นต่อว่าเรา แต่ได้บ่นต่อว่าพระเจ้า” (อพย.16:7-8)
ผลที่ตามมาจากการบ่นหรือสบประมาทพระเจ้านั้นน่ากลัวมากจริง ๆ
ดังตัวอย่างในพระคัมภีร์เล่าว่า …โคราห์ กับพรรคพวกพากันไปยืนต่อหน้าโมเสส และต่อว่าโมเสสและอาโรน อีกทั้งยังไม่ยอมให้ความร่วมมือกับโมเสส เมื่อได้รับการร้องขออีก ทั้งหมดจึงต้องพากันเข้าเฝ้าพระเจ้าเพื่อให้พระองค์ทรงตัดสินความ พระเจ้าตรัสสั่งให้คนอื่น ๆ ทั้งหมดที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกห่างจากโคราห์ ดาธาน และอาบีรัมที่เป็นหัวโจกในการร่วมกันบ่นว่าโมเสสและอาโรน แล้วทรงให้แผ่นธรณีที่พวกโคราห์ ดาธานและอาบีรัม พร้อมกับครอบครัวยืนอยู่แยกออกจากกันกลืนคนเหล่านั้นลงไป พร้อมกับมีไฟจากพระเจ้าเผาผลาญคนเหล่านั้นรวมทั้งหมด 250 คน!
แต่กระนั้นก็ตาม ผลปรากฎว่าในวันรุ่งขึ้นก็ยังมีชุมนุมชนอิสราเอลมาบ่นว่า โมเสสกับอาโรนอีก พระเจ้าก็ทรงพระพิโรธอีก แม้ว่าโมเสสกับอาโรนจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อลบมลทินบาปของประชาชน แต่ก็ไม่ทันการแล้ว เพราะว่ามีผู้ที่ต้องตายเพราะภัยพิบัตินั้นอีก 14700 คน! (กดว.16)
จากนั้น พระเจ้าก็ทรงกำชับประชาชนอิสราเอลให้เลิกบ่น และสงบปากคำเสียที โดยให้หมายสำคัญก็คือให้ประมุขของแต่ละเผ่า นำไม้เท้าที่เขียนชื่อแต่ละคนมาวางไว้ในเต็นท์นัดพบ
และพระเจ้าทรงยืนยันว่าทรงสถิตอยู่ฝ่ายอาโรน โดยการให้ไม้เท้าของท่านมีดอกตูม ดอกบาน และเกิดผลอัลมันด์สุก จากนั้นพระเจ้าทรงกำชับให้เก็บไม้เท้าของอาโรนไว้เป็นเครื่องเตือนประชาชนให้ยุติการบ่น มิฉะนั้นจะตาย! (กดว.17:4-5,8,10)
ดูเหมือนว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะจบลงได้แล้วและบทเรียนที่ชาวอิสราเอลได้รับ และพระบัญชาของพระเจ้าดังกล่าวน่าจะได้รับการปฏิบัติตามด้วยความยำเกรงพระองค์ แต่ผลปรากฎว่า ไม่ใช่!
ประชาชนยังคงเอาแต่ใจ และขี้บ่นอยู่อีก ผลที่ตามมาก็คือ การลงโทษที่ไม่รีรอจากพระเจ้าก็เกิดขึ้นอีกครั้งจนได้! เมื่อประชาชนที่เดินทางไม่สะดวกและเผชิญกับความยากลำบากเริ่มบ่นว่าพระเจ้าและโมเสสอีก (กดว.21:5) พระเจ้าจึงทรงบัญชาให้งูกัดประชาชนคนอิสราเอลตายจำนวนมาก!
ประชาชนที่รอดก็เลยลนลานมาหาโมเสส และยอมสารภาพว่าได้กระทำผิดบาปที่บ่นว่าพระเจ้าและโมเสส! (กดว.21:7)
โมเสสจึงอธิษฐานเพื่อประชาชนและพระเจ้าทรงเมตตาโปรดช่วยคนทั้งหลายให้รอดตายจากพิษงูทุกคน!
พี่น้องที่รัก ! เห็นแล้วหรือยังครับว่า การบ่นนั้นนำทุกข์ภัยอย่างมหันต์มาสู่เรา และคนในครอบครัวของเรา!
หลายพันปีต่อมา อาจารย์เปาโลก็นำบทเรียนเรื่องดังกล่าวนั้นมาเตือนสติคนในสมัยของท่านว่า“อย่าบ่น”!
“เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจพวกเรา ไม่ให้เรามีใจโลภปรารถนาสิ่งที่ชั่วเหมือนเขาเหล่านั้นอย่าให้เราลองดีองค์พระผู้เป็นเจ้า เหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้กระทำ แล้วก็ต้องตายด้วยงูร้าย อย่าให้เราบ่นเหมือนอย่างที่บางคนในพวกเขาได้บ่น แล้วก็ต้องพินาศด้วยองค์เพชฌฆาต”! (1คร.10:6,9-11)
ดังนั้น ขอให้เราอย่าให้เราบ่นต่อพระเจ้าหรือบ่นต่อว่ากันและกัน ไม่ว่าจะต่อ คนในครอบครัว คนในคริสตจักร หรือ คนในที่ทำงาน ของเรา !
“พี่น้องทั้งหลาย จงอย่าบ่นว่ากันและกัน เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกทรงพิพากษา จงดูองค์พระผู้พิพากษาทรงประทับยืนอยู่ที่ประตูแล้ว” (ยก.5:9)
แต่ให้เราพูดถึงกันอย่างสร้างสรรค์และแสดงความชื่นชมต่อกันด้วยความเข้าใจอันดีต่อกันด้วยความอดทนและอดกลั้นต่อกัน และกันด้วยความรักจะดีกว่า!
ให้เราคิดถึงแต่ “ส่วนดี” ของผู้อื่นอยู่เสมอ และ “ขอบคุณพระเจ้า” สำหรับสิ่งดีเหล่านั้น และหากว่าบังเอิญเขาทำสิ่งใดที่ดีไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามก็ขอให้เรารีบกล่าว “ขอบคุณ” เขาให้ได้ยินโดยเร็ว เพราะว่า การกระทำที่ดีเช่นนี้ จะช่วยเปลี่ยนแปลง “คน” ที่เรารู้สึกไม่ชอบ หรือ “เรื่อง” ที่เราไม่พอใจให้กลับกลายเป็น “คน” และ “เรื่อง” ที่ให้กำลังใจ และช่วยเราให้เติบโตขึ้นในพระคุณและความรักของพระเจ้าขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง และในที่สุดเราจะขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำเราหรืออนุญาตให้เราพบกับ “คน” หรือ “เหตุการณ์” เหล่านั้นที่เคยทำให้เราบ่นนั้น เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นได้กลับช่วยเราให้มีจิตวิญญาณที่พัฒนาสูงขึ้นกว่าเดิมได้อย่างน่าอัศจรรย์!
ดังนั้น วันนี้ ขอให้เรามาเปลี่ยน “คำบ่น” ของเราให้กลายเป็น “คำขอบคุณ” และ “คำสรรเสริญ”
จะดีกว่า เห็นด้วยไหมครับ?
– ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-