ปัญหาเรื่องการแต่งงาน (1)
พระธรรม 1โครินธ์ 7:1-24
อ้างอิง 1คร.7:4-17; 26,39;6:20;14:33;2คร.8:8;11:17
บทนำ
คริสเตียนไม่ว่าจะอยู่ในสภาพหรือสถานภาพใด เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเรา ก็ขอให้เราอยู่ในสภาพหรือฐานะนั้นด้วยการสำแดงพระเจ้าและพระคุณของพระองค์ให้ทุกคนได้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเรามีครอบครัวก็ขอให้ชีวิตครอบครัวของเราเป็นพยานที่ดีที่ถวายเกียรติแด่พระคริสต์
บทเรียน
7:1 “เกี่ยวกับเรื่องที่พวกท่านเขียนมานั้น “การที่ผู้ชายไม่แตะต้องผู้หญิงเลยก็ดีแล้ว”
(Now concerning the matters about which you wrote: “It is good for a man not to have sexual relations with a woman.”)
7:2 “แต่เพราะเหตุการล่วงประเวณี ผู้ชายแต่ละคนควรมีภรรยาเป็นของตน และผู้หญิงแต่ละคนควรมีสามีเป็นของตน”
(But because of the temptation to sexual immorality, each man should have his own wife and each woman her own husband.)
7:3 “สามีพึงสัมพันธ์กับภรรยาตามควร และภรรยาก็พึงสัมพันธ์กับสามีตามควรเช่นเดียวกัน”
(The husband should give to his wife her conjugal rights, and likewise the wife to her husband.)
7:4 “ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่สามีมีอำนาจเหนือร่างกายของภรรยา ทำนองเดียวกันสามีไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่ภรรยามีอำนาจเหนือร่างกายของสามี”
(For the wife does not have authority over her own body, but the husband does. Likewise the husband does not have authority over his own body, but the wife does. )
7:5 “อย่าปฏิเสธความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาเว้นแต่ได้ตกลงกันเป็นการชั่วคราว เพื่ออุทิศตัวในการอธิษฐาน แล้วจึงค่อยมามีความสัมพันธ์กันอีก เพื่อไม่ให้ซาตานล่อลวงให้ทำผิดเพราะตัวอดไม่ได้”
(Do not deprive one another, except perhaps by agreement for a limited time, that you may devote yourselves to prayer; but then come together again, so that Satan may not tempt you because of your lack of self-control.)
7:6 “ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เป็นการอนุญาต ไม่ใช่สั่ง”
(Now as a concession, not a command, I say this. )
7:7 “ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกคนเป็นเหมือนข้าพเจ้า แต่ว่าแต่ละคนก็ได้รับขผองประทานของตัวเองจากพระเจ้า คนหนึ่งได้รับอย่างนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับอย่างนั้น”
(I wish that all were as I myself am. But each has his own gift from God, one of one kind and one of another.)
7:8 “ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพวกที่ไม่แต่งงานและพวกแม่ม่ายว่า การที่พวกเขาจะอยู่เหมือนข้าพเจ้าก็ดีแล้ว”
(To the unmarried and the widows I say that it is good for them to remain single as I am. )
7:9 “แต่ถ้าควบคุมตัวไม่อยู่ ก็จงแต่งงานเสียเถิด เพราะว่าแต่งงานเสียก็ดีกว่ามีใจเร่าร้อนด้วยกามราคะ”
(But if they cannot exercise self-control, they should marry. For it is better to marry than to burn with passion.)
7:10 “ส่วนคนที่แต่งงานแล้ว ข้าพเจ้าขอสั่ง ไม่ใช่ข้าพเจ้าสั่งเอง แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่า อย่าให้ภรรยาแยกจากสามี”
(To the married I give this charge (not I, but the Lord): the wife should not separate from her husband )
7:11 “แต่ถ้านางแยกจากสามีแล้ว ก็อย่าให้นางแต่งงานใหม่ หรือไม่ก็ให้นางคืนดีกับสามี และอย่าให้สามีหย่าภรรยาเลย”
(but if she does, she should remain unmarried or else be reconciled to her husband), and the husband should not divorce his wife.)
7:12 “ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพวกที่เหลือ ข้าพเจ้าเองกล่าว (องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัส) ว่า ถ้าพี่น้องคนไหนมีภรรยาที่ไม่เชื่อในพระคริสต์ และนางพอใจจะอยู่กับสามี ก็ไม่ให้สามีหย่านาง”
(To the rest I say (I, not the Lord) that if any brother has a wife who is an unbeliever, and she consents to live with him, he should not divorce her. )
7:13 “ถ้าหญิงคนไหนมีสามีที่ไม่เชื่อในพระคริสต์ และสามีพอใจจะอยู่กับนาง ก็ไม่ให้นางหย่าสามีนั้น”
(If any woman has a husband who is an unbeliever, and he consents to live with her, she should not divorce him.)
7:14 “เพราะว่าสามีที่ไม่เชื่อนั้นได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ทางภรรยา และภรรยาที่ไม่เชื่อก็ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ทางสามี มิฉะนั้นลูกๆ ของพวกท่านก็เป็นมลทิน แต่บัดนี้เด็กเหล่านั้นบริสุทธิ์”
(For the unbelieving husband is made holy because of his wife, and the unbelieving wife is made holy because of her husband. Otherwise your children would be unclean, but as it is, they are holy.)
7:15 “แต่ถ้าคนที่ไม่เชื่อจะแยกจากไป ก็ให้เขาแยกจากไปเถิด ในกรณีนี้ไม่จำเป็นที่พี่น้องชายหญิงต้องถูกผูกมัดเพราะว่าพระเจ้าทรงเรียกเราให้อยู่อย่างสันติ”
(But if the unbelieving partner separates, let it be so. In such cases the brother or sister is not enslaved. God has called you to peace. )
7:16 “ท่านผู้เป็นภรรยา ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะช่วยสามีให้รอดไม่ได้? ท่านผู้เป็นสามี ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะช่วยภรรยาให้รอดไม่ได้?”
(For how do you know, wife, whether you will save your husband? Or how do you know, husband, whether you will save your wife?).
7:17 “อย่างไรก็ตาม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดสภาพแต่ละคนมาอย่างไร และพระเจ้าทรงเรียกแต่ละคนในสภาพอย่างไร ก็ให้เขาดำเนินต่อไปอย่างนั้น ข้าพเจ้าสั่งคริสตจักรทั้งหมดให้ทำเช่นนี้”
(Only let each person lead the life that the Lord has assigned to him, and to which God has called him. This is my rule in all the churches)
7:18 “มีชายคนไหนที่พระเจ้าทรงเรียกเมื่อเขาได้เข้าสุหนัตแล้ว ก็อย่าให้เขาลบรอยนั้นเสีย หรือมีชายคนไหนที่พระเจ้าทรงเรียกเมื่อเขาไม่ได้เข้าสุหนัต ก็อย่าให้เขาเข้าสุหนัต”
(Was anyone at the time of his call already circumcised? Let him not seek to remove the marks of circumcision. Was anyone at the time of his call uncircumcised? Let him not seek circumcision.)
7:19 “การเข้าสุหนัตหรือไม่นั้นไม่สำคัญอะไร แต่การถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้านั้นสำคัญ”
(For neither circumcision counts for anything nor uncircumcision, but keeping the commandments of God.)
7:20 “ให้แต่ละคนอยู่ตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น”
(Each one should remain in the condition in which he was called.)
7:21 “พระเจ้าทรงเรียกท่านเมื่อยังเป็นทาสอยู่หรือ? อย่าเป็นห่วงเลย แต่ถ้าท่านสามารถเป็นไทได้ ก็จงใช้สิทธิ์นั้น”
(Were you a bondservant when called? Do not be concerned about it. (But if you can gain your freedom, avail yourself of the opportunity.)
7:22 “เพราะว่าผู้ใดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียก เมื่อยังเป็นทาส ผู้นั้นเป็นเสรีชนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในทำนองเดียวกันคนที่ได้รับการทรงเรียกเมื่อเป็นไท คนนั้นเป็นทาสของพระคริสต์”
(For he who was called in the Lord as a bondservant is a freedman of the Lord. Likewise he who was free when called is a bondservant of Christ. )
7:23 “พระเจ้าทรงซื้อพวกท่านด้วยราคาสูง อย่าเป็นทาสของมนุษย์เลย”
(You were bought with a price; do not become bondservants of men.)
7:24 “พี่น้องทั้งหลาย แต่ละคนได้รับการทรงเรียกในสภาพใด ก็ให้อยู่ในสภาพนั้นกับพระเจ้า”
(So, brothers, in whatever condition each was called, there let him remain with God.)
ข้อมูลมีประโยชน์
7:1 “เกี่ยวกับเรื่องที่พวกท่านเขียนมานั้น” (Now concerning the matters about which you wrote)
= ชาวโครินธ์เขียนจดหมายถามปัญหาที่ทำให้ อ.เปาโล ปวดหัวหลายเรื่อง (8:1;12:1;16:1)
“การที่ผู้ชายไม่แตะต้องผู้หญิงเลยก็ดีแล้ว” (“It is good for a man not to have sexual relations with a woman) = เป็นการดีที่ผู้ชายจะไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิง หรือเป็นการดีที่ผู้ชายจะไม่แต่งงาน แต่ในตอนอื่น ๆ อ.เปาโลเห็นด้วยกับการแต่งงาน –อฟ.5:22-23;คส.3:18-19;1ทธ.3:2,12;5:14 และใน 1ทธ.4:1-3 อ.เปาโลกล่าวว่า การห้ามไม่ให้แต่งงานก็ถือว่าเป็นเครื่องหมายของพวกนอกรีตในยุคสุดท้าย
7:2 “แต่เพราะเหตุการล่วงประเวณี” ( But because of the temptation to sexual immorality ) = มีการล่วงประเวณีหรือการผิดศีลธรรมเกิดขึ้นอย่างมากในโครินธ์ -ตัวอย่างเช่น ในวิหารของเทวี อะโพร์ไดท์ ที่บนภูเขาอะโครโครินธ์ ซึ่งเป็นภูเขาหินเหนือโครินธ์ มีผู้หญิงโสเภณีเป็นปุโรหิตรับใช้อยู่นับพันคน (6:18)
7:3 “สามีพึงสัมพันธ์กับภรรยาตามควร” (The husband should give to his wife her conjugal rights)
= สามีควรทำหน้าที่ต่อภรรยาของตนอย่างสมบูรณ์ และภรรยาก็ควรกระทำเช่นนั้นต่อสามี
= คู่สมรสควรมีเพศสัมพันธ์กันตามปกติ การไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์เป็นการลิดรอนสิทธิตามธรรมชาติของอีกฝ่ายหนึ่ง และอาจนำไปสู่การทดลอง
7:4 “ทำนองเดียวกัน” (Likewise) = ทั้งสามีและภรรยามีสิทธิทางการสมรสและเป็นเจ้าของสิทธินั้นในตัวของอีกฝ่ายหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว
7:5 “อย่าปฏิเสธความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา” (not deprive one another) = อย่าปฏิเสธเพศสัมพันธ์
“เพื่อไม่ให้ซาตานล่อลวงให้ทำผิดเพราะตัวอดไม่ได้” (so that Satan may not tempt you because of your lack of self-control) = คริสเตียนซึ่งถูกคู่สมรสของตนปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ อาจถูกซาตานล่อลวงให้ทำผิดบาปทางเพศได้ ทั้ง 2 ต้องตระหนักว่า แรงขับทางเพศที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์นั้นมีพลังยากต้านทานขัดขืน
7:6 “ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ เป็นการอนุญาตไม่ใช่สั่ง” (Now as a concession, not a command, I say this) = แม้การแต่งงานเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา และสอดคล้องกับแผนการของพระเจ้า แต่ก็ไม่ได้ต้องเป็นเช่นนี้ในทุกกรณีหรือทุกสถานการณ์ (ข.25-38)
7:7 ”เป็นเหมือนข้าพเจ้า” (I wish that all were as I myself am) = เป็นโสดไม่แต่งงานเหมือนตัว อ.เปาโล
อ.เปาโลมองดูสถานภาพโสดที่ไม่แต่งงานนั้น เป็นของประทานจากพระเจ้า
-เป็นเหตุให้ท่านยอมรับสถานภาพของการไม่แต่งงานและใช้สถานภาพนั้นในการรับใช้พระเจ้าอย่างเต็มที่ – 1คร.7:8;9:5
“แต่ละคนได้รับของประทานของตนเอง” (each has his own gift from God) -มธ.19:11,12;รม.12:6;1คร.12:4,11
7:8 “จะอยู่เหมือนข้าพเจ้าก็ดีแล้ว” (I say that it is good for them to remain single as I am) –1คร.7:1,26
7:9 “…ก็จงแต่งงานเสียเถิด” ( …they should marry ) –1ทธ.5:14
7:10 “ข้าพเจ้าขอสั่งไม่ใช่ข้าพเจ้าสั่งเอง แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา” (I give this charge (not I, but the Lord) – อ.เปาโลกำลังยกเอาพระบัญชาที่พระเยซูคริสต์เคยตรัสไว้ในช่วงที่ทรงทำพระราชกิจอยู่ในโลกที่ว่าคู่สมรสต้องอยู่ร่วมกัน (มธ.5:32;19:3-9;มก.10:2-12;ลก.16:18)
-ซึ่ง อ.เปาโลอาจได้ยินพระบัญชานั้นมาจากสาวกคนอื่น (กท.1:18-19)
7:11 “แต่ถ้านางแยกจากสามีแล้วก็อย่าให้นางแต่งงานใหม่หรือไม่ก็ให้นางคืนดีกับสามี” (but if she does, she should remain unmarried or else be reconciled to her husband) = อ.เปาโลแย้งตามพระบัญชาของพระเยซูคริสต์ว่า หญิง (หรือชาย) ที่แยกออกไปต้องไม่แต่งงานอีก หรือกลับมาคืนดีกันใหม่ เป็นหลักการที่ชัดเจนว่า คู่สมรสไม่ควรแยกจากกันอย่างถาวร –รม.7:2-3;1คร.7:39
7:12 “ข้าพเจ้าเองกล่าว(องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัส)” (I say (I, not the Lord)) = อ.เปาโลไม่ได้ยกพระบัญชาของพระเยซูคริสต์เจ้าตรัสไว้ตรง ๆ มาพูด
“พี่น้องคนไหนมีภรรยาที่ไม่เชื่อ” (brother has a wife who is an unbeliever) -ในข้อนี้ (และในข้อ 13) อ.เปาโลกำลังกล่าวถึงคู่ที่แต่งงานกับมาก่อน แล้วภายหลังฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมาเป็นคริสเตียน ว่าทั้ง 2 ควรอยู่ด้วยกันต่อไป นอกจากว่า ฝ่ายที่ไม่เป็นคริสเตียน (ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง) ไม่ต้องการอยู่ร่วมด้วย
(ข.16)
7:14 “…ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์” (…made holy) = สิ่งที่ อ.เปาโลกล่าวตอนนี้ อยู่ในข่ายของเรื่องที่ “เข้าใจยาก” ดังที่ อ.เปโตร กล่าวถึงใน 2 ปต.3:16
-.ในที่นี้ อ.เปาโลยืนยันว่า คู่สมรสที่ยังไม่เชื่อจะมีส่วนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากคู่สมรสที่เชื่อในทางใดทางหนึ่ง (1:2)
และส่งผลให้ลูกที่เกิดจากการเป็นหนึ่งเดียวกันของทั้งสองนั้น บริสุทธิ์ (คือได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้า) ภายใต้พันธสัญญาใหม่ในพระคริสต์ – มลค.2:15
7:15 “ในกรณีนี้ไม่จำเป็นที่พี่น้องชายและหญิงต้องถูกผูกมัด” ( In such cases the brother or sister is not enslaved) = ผู้เชื่อไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้ข้อผูกมัดที่ต้องพยายามอยู่กับผู้ไม่เชื่ออีกต่อไป
“ทรงเรียกเราให้อยู่อย่างสันติ” (God has called you to peace) = ถ้าผู้ไม่เชื่อถูกบังคับให้อยู่กับผู้เชื่อ (หรืงอกลับกัน) บ้านก็จะไม่มีความสุขสงบ –รม.14:19;1คร.14:33
7:16 “รู้ได้อย่างไรว่าจะช่วยสามีให้รอดไม่ได้” (how do you know, wife, whether you will save your husband?) -รม.11:14;1ปต.3:1
7:17 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดสภาพแต่ละคนมาอย่างไร?” (the Lord has assigned to)
= ให้คริสเตียนแต่ละคนคงสถานภาพตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนด หรือมอบหมายอย่างมั่นใจ ไม่ว่า
พระเจ้าจะวางหรือกำหนดเราไว้ตรงไหนก็ตาม (ข.18)
= ไม่มีการพยายามเปลี่ยนสถานภาพแบบใดที่เราพยายามทำด้วยตัวเองแล้วจะยกระดับความรอดได้
“พระเจ้าทรงเรียกแต่ละคน” ( God has called him) –รม.12:3
“ข้าพเจ้าสั่งคริสตจักรทั้งหมดให้ทำเช่นนี้” (This is my rule in all the churches) = นี่เป็นกฎที่ข้าพเจ้าวางไว้ให้คริสตจักทั้งปวงปฏิบัติตาม –1คร.4:17;14:33;2คร.8:18;11:28
7:18 “เข้าสุหนัต …ไม่ได้เข้าสุหนัต” (circumcised? …uncircumcision?)
= คนเข้าสุหนัตคือชาวยิว และพวกไม่ได้เข้าสุหนัต หมายถึงคนต่างชาติ
= คริสเตียนที่เป็นชาวยิว ก็ไม่จำเป็นต้องพยายามลบร่องรอยของการเคยเข้าสุหนัตที่บ่งบอกว่าเป็นชาวยิวมาก่อน และคนต่างชรติที่มาเป็นคริสเตียนก็ไม่ควรถูกกดกันจากชาวยิวให้ต้องเข้าสุหนัต (กจ.15:1-5; กท.5:1-3)
7:19 “การเข้าสุหนัตหรือไม่นั้น ไม่สำคัญอะไร” (For neither circumcision counts for anything nor uncircumcision) –กท.5:6;6:15;คส.3:11;รม.2:25-27
7:20 “ให้แต่ละคนอยู่ตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น” (Each one should remain in the condition in which he was called.) –1คร.7:24
7:21 “ทรงเรียกท่านเมื่อยังเป็นทาสอยู่” (Were you a bondservant when called?) = แม้อยู่ในสภาพทาส (ไม่ว่าจะทางสังคมหรือเศรษฐกิจ)-คริสเตียนควรดำเนินชีวิตอย่างพึงพอใจ โดยตระหนักว่าเราเป็นไท ในพระคริสต์แล้ว (ข.22;ยน.8:32,36)
“แต่ถ้าท่านสามารถเป็นไทได้ ก็จงใช้สิทธิ์นั้น” ( if you can gain your freedom, avail yourself of the opportunity) = ทาสที่เป็นคริสเตียนเมื่อมีโอกาสเป็นอิสระได้ ก็ควรฉวยโอกาสนั้น ภายใต้จักรวรรดิโรมัน บางครั้งคนชนชั้นสูงไถ่ทาสให้เป็นอิสระ
ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องผิดที่คริสเตียนจะยกสถานภาพของตนเอง เพียงแต่สถานภาพทางสังคมนี้ไม่ได้มีผลต่อสถานภาพฝ่ายจิตวิญญาณในพระเจ้า
7:22 “ผู้นั้นเป็นเสรีชนขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (he who was called in the Lord as a bondservant is a freedman of the Lord.) = ได้รับการปลดปล่อยจากบ่วงบาป (รม.6:18,22; ฮบ.9:15; ปท .ยน.8:34,36)
“คนนั้นเป็นทาสของพระคริสต์” (when called is a bondservant of Christ)= เราเป็นไทเพื่อจะรับใช้พระคริสต์ ดุจเป็นทางของพระองค์ เช่นเดียวกับอิสราเอลที่เป็นไทจากการผูกมัดของอียิปต์ แล้วกลายมาเป็นประชากรผู้รับใช้พระเจ้า ร(อพย.6:6-7;16:4-6)
7:23 “ทรงซื้อพวกท่านด้วยราคาสูง อย่าเป็นทาสของมนุษย์เลย” (You were bought with a price)
= ไม่ว่าคริสเตียนจะอยู่ในสถานภาพใด พวกเขาต้องตระหนักว่า พวกเขาเป็นของพระคริสต์ ที่พระองค์ทรงซื้อพวกเขามาด้วยราคาที่สูงด้วยโลหิตของพระองค์ (6:20;1ปต.1:18-19)
7:24 “ก็ให้อยู่ในสภาพนั้นกับพระเจ้า” (there let him remain with God) –1คร.7:20
คำถามนำอภิปราย
- ระหว่างการอยู่เป็นโสดกับการแต่งงานคุณอยากเลือกสถานภาพใด? ทำไม?
- อะไรคือผลดีของการไม่แต่งงาน?……………………………………………………………………………..
และอะไรคือผลเสียของการไม่แต่งงาน?……………………………………………………………………
- อะไรคือผลดีของการแต่งงาน?……………………………………………………………………………….
และอะไรคือผลเสียของการแต่งงาน?…………………………………………………………………………
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับใช้พระเจ้า?
- สำหรับตัวคุณ หากคุณต้องแต่งงาน อะไรคือเหตุผลสำคัญที่สุดในการแต่งงานของคุณ? ทำไม?
- หากคุณแต่งงานแล้ว อะไรคือปัญหาใหญ่ที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคู่สมรสของคุณ? ทำไม? แล้วคุณแก้ไขปัญหาได้หรือไม่? อย่างไร?
- คุณเข้าใจอย่างไรในประโยคที่ว่า “ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่สามีมีอำนาจเหนือร่างกายของภรรยา”? หมายความว่า สามีจะทำอะไรกับร่างกายของภรรยาก็ได้ใช่หรือไม่?
- ในทำนองเดียวกัน คุณเข้าใจอย่างไรกับประโยคที่ว่า “สามีไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตน แต่ภรรยามีอำนาจเหนือร่างกายของสามี?
-คุณจะนำมาปฏิบัติได้อย่างไรในชีวิตจริงทั้งใน ข้อ 4 และ 5 นี้?
- ทำไม อ.เปาโลจึงห้ามไม่ให้มีการปฏิเสธความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากันนอกจากมีข้อยกเว้นเป็นการชั่วคราว? มีข้อยกเว้นใดในชีวิตจริงที่เป็นที่ยอมรับได้? ทำไม?
- อ.เปาโลมีของประทานในการ “อยู่คนเดียวได้” (ไม่แต่งงาน) คุณเองมีของประทานดังกล่าวหรือไม่? คุณดำเนินชีวิตอยู่อย่างไร? ส่งผลดีหรือไม่ดีอย่างไรบ้าง ในชีวิตของคุณ?
- ถ้าคุณแต่งงานแล้ว ชีวิตครอบครัวของคุณมีความสุขราบรื่นดีหรือมีความทุกข์? อะไรเป็นสาเหตุ? แล้วคุณแก้ไขอย่างไร?
- หากคู่สมรสของคุณต้องการแยกทางหรือหย่าขาดจากคุณ คุณจะทำอย่างไร? ทำไม?
-หากจะมีโอกาสเกิดขึ้นจริง คุณคิดว่าเขาจะขอเลิกกับคุณด้วยสาเหตุใด? แล้วคุณแก้ไขได้ไหมก่อนที่เขาจะใช้สาเหตุนั้นขอแยกทางจากคุณ? อย่างไร? และทำไม?
- การที่คุณรู้ว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานภาพใดในทางสังคมหรือเศรษฐกิจสิ่งนั้นไม่ได้มีผลอะไรต่อสถานภาพฝ่ายจิตวิญญาณของคุณเลย ได้ส่งผลอะไรต่อการดำเนินชีวิตและการเป็นพยานเรื่องพระคริสต์บ้างและอย่างไร?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์