เพื่อนร่วมงานเพื่อพระเจ้า
พระธรรม 1โครินธ์ 3:1-23
อ้างอิง 1คร.1:12;6:19;2คร.6:16;กจ.18:4-11,24-28;สดด.94:11;โยบ
บทนำ พระเจ้าประสงค์ให้เราร่วมมือกัน ไม่ใช่แตกแยกกันหรือขัดเคืองกัน พระเจ้าประสงค์ให้เราตระหนักว่า เราเหล่าผู้เชื่อล้วนเป็นของพระคริสต์เหมือนกัน เราจึงควรร่วมมือกันทำงานเป็นทีมถวายเกียรติแด่พระองค์!
บทเรียน
3:1 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อาจจะพูดกับท่าน เหมือนพูดกับพวกที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้องพูดเหมือนพวกที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนกับพวกที่เป็นทารกในพระคริสต์”
(But I, brothers, could not address you as spiritual people, but as people of the flesh, as infants in Christ. )
3:2 “ข้าพเจ้าเลี้ยงพวกท่านด้วยน้ำนม ไม่ใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนท่านไม่สามารถรับ และเดี๋ยวนี้ท่านก็ยังคงไม่สามารถรับได้”
(I fed you with milk, not solid food, for you were not ready for it. And even now you are not yet ready,)
3:3 “เพราะว่าท่านทั้งหลายยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เพราะเมื่อยังอิจฉากัน และขัดเคืองใจกัน พวกท่านก็อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง และประพฤติอย่างคนทั่วไปไม่ใช่หรือ?”
(for you are still of the flesh. For while there is jealousy and strife among you, are you not of the flesh and behaving only in a human way? )
3:4 “เพราะเมื่อคนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของเปาโล” และอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของอปอลโล” ท่านทั้งหลายก็เป็นเหมือนคนทั่วไปไม่ใช่หรือ?”
(For when one says, “I follow Paul,” and another, “I follow Apollos,” are you not being merely human?)
3:5 “อปอลโลคือใคร? เปาโลคือใคร? คือผู้ปรนนิบัติซึ่งได้สอนพวกท่านให้เชื่อ ตามงานที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้แต่ละคน”
(What then is Apollos? What is Paul? Servants through whom you believed, as the Lord assigned to each. )
3:6 “ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต”
(I planted, Apollos watered, but God gave the growth. )
3:7 “เพราะฉะนั้นคนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ”
(So neither he who plants nor he who waters is anything, but only God who gives the growth.)
3:8 “คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำก็เป็นพวกเดียวกัน และทุกคนก็จะได้บำเหน็จตามการงานของตน”
(He who plants and he who waters are one, and each will receive his wages according to his labor.)
3:9 “เพราะว่าเราร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์”
(For we are God’s fellow workers. You are God’s field, God’s building.)
3:10 “โดยพระคุณของพระเจ้าที่ประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้วเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น แต่ละคนต้องระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นอย่างไร”
(According to the grace of God given to me, like a skilled master builder I laid a foundation, and someone else is building upon it. Let each one take care how he builds upon it. )
3:11 “เพราะว่าใครจะมาวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์”
(For no one can lay a foundation other than that which is laid, which is Jesus Christ.)
3:12 “บนรากนั้นถ้าใครจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง”
(Now if anyone builds on the foundation with gold, silver, precious stones, wood, hay, straw)
3:13 “การงานของแต่ละคนก็จะปรากฏให้เห็น เพราะวันพิพากษานั้นจะสำแดงให้เห็น คือจะถูกเผยให้เห็นด้วยไฟ และไฟนั้นจะพิสูจน์ว่าการงานของแต่ละคนเป็นอย่างไร”
(each one’s work will become manifest, for the Day will disclose it, because it will be revealed by fire, and the fire will test what sort of work each one has done.)
3:14 “ถ้าการงานของใครที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ คนนั้นก็จะได้บำเหน็จ”
(If the work that anyone has built on the foundation survives, he will receive a reward. )
3:15 “ถ้าการงานของใครถูกเผาไหม้ไป คนนั้นก็จะได้รับความสูญเสีย ส่วนตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอด จากไฟ”
(If anyone’s work is burned up, he will suffer loss, though he himself will be saved, but only as through fire.)
3:16 “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน?”
(Do you not know that you are God’s temple and that God’s Spirit dwells in you? )
3:17 “ถ้าใครทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายคนนั้น เพราะว่าวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ และพวกท่านเป็นวิหารนั้น”
(If anyone destroys God’s temple, God will destroy him. For God’s temple is holy, and you are that temple.)
3:18 “อย่าให้ใครหลอกลวงตัวเอง ถ้าใครในพวกท่านคิดว่าตัวเป็นคนมีปัญญาตามหลักของยุคนี้ จงให้คนนั้นยอมเป็นคนโง่ เพื่อจะได้เป็นคนมีปัญญา”
(Let no one deceive himself. If anyone among you thinks that he is wise in this age, let him become a fool that he may become wise.)
3:19 “เพราะว่าปัญญาของโลกนี้ เป็นความโง่ในสายพระเนตรของพระเจ้า เพราะมีเขียนไว้ว่า “พระองค์ทรงจับคนมีปัญญาด้วยอุบายของพวกเขาเอง”
(For the wisdom of this world is folly with God. For it is written, “He catches the wise in their craftiness,” )
3:20 “และมีเขียนไว้อีกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงทราบความคิดของพวกที่มีปัญญา ว่าเป็นสิ่งไร้ประโยชน์”
(and again, “The Lord knows the thoughts of the wise, that they are futile.”)
3:21 “เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครยกมนุษย์ขึ้นอวด เพราะว่าทุกสิ่งเป็นของท่านทั้งหลาย”
(So let no one boast in men. For all things are yours,)
3:22 “ไม่ว่าจะเป็นเปาโล หรืออปอลโล หรือเคฟาส หรือโลก หรือชีวิต หรือความตาย หรือปัจจุบัน หรืออนาคต ทุกสิ่งนั้นล้วนเป็นของท่าน”
(whether Paul or Apollos or Cephas or the world or life or death or the present or the future—all are yours,)
3:23 “และท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์ และพระคริสต์ทรงเป็นของพระเจ้า”
(and you are Christ’s, and Christ is God’s.)
ข้อมูลมีประโยชน์
3:1 “พี่น้องทั้งหลาย” ( brothers) -1:10
“พวกที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ” (you as spiritual people ) -2:15
“ฝ่ายเนื้อหนัง” (people of the flesh) = ผู้ที่อยู่ฝ่ายโลก
“ทารก” (as infants) –1คร.14:20
3:2 “น้ำนม…อาหารแข็ง” ( milk … food) –ฮบ.5:12-14;1ปต.2:2
“ยังคงไม่สามารถรับได้” (not ready for it) –ยน.16:12
3:3 “อย่างคนทั่วไป” (you are still of the flesh) = ประพฤติเหมือนคนธรรมดาในโลกที่ทำตามมาตรฐานของมนุษย์เท่านั้น ไม่เหมือนคนของพระเจ้า
“อิจฉากันและขัดเคืองใจกัน” (jealousy and strife among) –รม.13:13;1คร.1:11;กท.5:20
3:4 “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของเปาโล…ของอปอลโล” ( I follow Paul,” and another, “I follow Apollos)
= ติดตามเปาโล ติดตามอปอลโล -1:12
3:5 “อปอลโลเป็นใคร” ( What is Paul?) –กจ.18:24
“ผู้ปรนนิบัติ” (Servants ) = ผู้รับใช้ – 1คร.4:1;2คร.6:4;อฟ.3:7;คส.1:23,25
3:6 “ข้าพเจ้าปลูก” (I planted) -กจ.18:4-11, เปาโลทำหน้าที่บุกเบิก ประกาศในที่ ๆ ไม่มีใครประกาศมาก่อน (2คร.10:13-16;รม.15:20-21) –1คร.4:15;9:1;15:1
“อปอลโลรดน้ำ” (Apollos watered) -กจ.18:24-28, อปอลโลรับใช้ในคริสตจักรที่เปาโลก่อตั้ง และสอนกับเสริมสร้างผู้เชื่อใหม่ที่ อ.เปาโลได้นำรับเชื่อไว้
3:8 “ทุกคนก็จะได้บำเหน็จตามการงานของตน” (each will receive his wages according to his labor) –สดด.18:20;62:12;มธ.25:21;1คร.3:14;9:17
3:9 “เราร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า” (we are God’s fellow workers ) –มก.16:20;2คร.6:1;1ธส.3:2
“เป็นไร่นาของพระเจ้า” (God’s field) = ไร่นาของพระเจ้าคือผู้คน –อสย.61:3
“เป็นตึกของพระองค์” (God’s building) = เป็นวิหารของพระเจ้า (ข.16-17) –อฟ.2:20-22;1ปต.2:5
อ.เปาโลเอาภาพสิ่งที่ทำกันในสมัยนั้นมาเปรียบคือ การเพราะปลูก มีไร่นา และมีการปลูกสร้างตึก (เมือง/วิหาร) ซึ่งทั้ง 2 เป็นงานแห่งความอุตสาหวิริยะของมนุษย์
3:10 “พระคุณของพระเจ้าที่ประทานแก่ข้าพเจ้า” ( the grace of God given to me) –รม.12:3
“ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้ว” ( I laid a foundation) = โดยการเทศนาเรื่องพระคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน (2:2) –รม.15:20;อฟ.2:20
“อีกคนหนึ่ง” ( someone else) = อปอลโลหรือคนอื่น ๆ
3:11 “พระเยซูคริสต์” (Jesus Christ) –อสย.28:16;อฟ.2:20
3:12 “ใครจะมาวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว” ( anyone builds on the foundation) = คนที่มีตำแหน่งหน้าที่ในคริสตจักร
“ทองคำ เงิน เพชรพลอย” (gold, silver, precious stones) = ผลงานที่ทรงคุณค่า ที่จะทนต่อการทดสอบในวันพิพากษาได้ เป็นสัญลักษณ์ของหลักข้อเชื่อและการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่บริสุทธิ์
“ไม้หญ้าแห้งและฟาง” ( wood, hay, straw) = ผลงานที่ไร้ค่า ไม่ผ่านการทดสอบเป็นสัญลักษณ์ของ คำสอน และชีวิตของคนที่นำผู้เชื่อให้สับสนและหลงไปในทางที่ผิด
3:13 เปรียบเทียบ 4:5;2คร.5:10
“วันพิพากษานั้น” ( the Day ) –1คร.1:8;2ธส.1:7-20;2ทธ.1:12,18;4:8
“ไฟ” (fire) = การพิพากษาของพระเจ้า เป็นการทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน งานของผู้เชื่อบางคนจะผ่านการทดสอบในขณะที่ของบางคนไม่ผ่าน และสูญสิ้นไป –กดว.31:22,23;ยรม.23:28,29;มลค.3:3;2ธส.1:7
3:14 “คนนั้นก็จะได้บำเหน็จ” (he will receive a reward) –1คร.3:8
3:15 “สูญเสีย” (loss) = สูญสิ้นไม่ได้รับรางวัล (ข.14)
“แต่ตัวเหมือนรอดจากไฟ” (only as through fire ) –ยด.23 = รอดอย่างหวุดหวิด การงานของผู้นั้นถูกไฟแห่งความยุติธรรม และการพิพากษาของพระเจ้าเผาผลาญ
3:16 “วิหารของพระเจ้า” ( God’s temple) = คริสตจักร (อฟ.2:21-22)
“ท่าน” ( you) = เป็นพหูพจน์ (ข.16,17)
ส่วน “วิหารของพระเจ้า” = เป็นเอกพจน์
แต่ใน 1คร.6:19 อ เปาโลกล่าวว่า คริสเตียนแต่ละคนเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์
3:17 “พระเจ้าจะทรงทำลายคนนั้น” (God will destroy him) = คนงานที่โง่เขลาเช่นนั้น ไม่ใช่ผู้รับใช้ของ พระเจ้าที่แท้จริง
“คนนั้น” (him) = คนที่ทำให้คริสตจักรท้องถิ่นแตกแยก โดยการแบ่งพรรคแบ่งพวก และชอบโต้แย้งกันในเรื่องข่าวประเสริฐ (1:11-12)
“ที่บริสุทธิ์” (holy) = แยกไว้สำหรับให้พระเจ้าใช้ แลเพื่อถวายเกียรติสิริของพระองค์ (1:2)
เพราะฉะนั้น เราต้องไม่ทำให้คริสตจักรเป็นมลทิน โดยสร้างความแตกแยกในคริสตจักร
3:18 “คิดว่าตัวเป็นคนมีปัญญา” ( he is wise ) = คิดว่า ตัวเองฉลาด –อสย.5:21;1คร.8:2;กท.6:3
“ตามหลักของยุคนี้” (in this age) = ตามมาตรฐานของยุคนี้ –คร.1:20
“จงให้คนนั้นยอมเป็นคนโง่” ( become a fool) = อย่าตามมาตรฐานของยุคนี้ -1:8
“จะได้เป็นคนมีปัญญา” (he may become wise) -1:21,24
3:19 “เป็นความโง่” ( is folly) –รม.1:22;1คร.1:20,27;3:18
“พระองค์ทรงจับคนมีปัญญาด้วยอุบายของพวกเขาเอง” (He catches the wise in their craftiness) = พระเจ้าจับคนฉลาดด้วยเล่ห์เหลี่ยมของพวกเขาเอง –โยบ 5:13
3:20 “เป็นสิ่งไร้ประโยชน์” ( are futile) -สดด.94:11
3:21 “อย่าให้ใครยกมนุษย์ขึ้นอวด” (no one boast in men) –1คร.4:6 = เหมือนกับยกนายช่างคนใดขึ้นมาและอวดว่า ใครเป็นสาวกของช่างคนใด -1:12;3:4 ปท. 1:31;4:6
“ทุกสิ่งเป็นของท่านทั้งหลาย” ( all things are yours) –รม.8:32
= เป็นเพราะความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อพระเจ้าผ่านพระคริสต์ (ข.23) พวกเขาเป็นทายาทรับสืบทอดมรดกทุกอย่าง –รม.8:17
= เป็นผู้สืบทอดมรดกทางพันธกิจของคนเหล่านั้น ที่ประกาศข่าวประเสริฐอย่างซื่อสัตย์ และเป็นผู้รับมรดกทุกอย่างของพระเจ้าและของพระคริสต์ (เป็นมรดกทุกอย่างที่นักปรัชญาในโลกอ้างว่า ได้รับแล้วโดยสติปัญญาของพวกเขาเอง)
3:23 “ท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์” (you are Christ’s) = พวกเขาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ และเป็นของพระองค์ (1:30)
“พระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า” (Christ is God’s) = พระคริสต์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าพระบิดา
–ยน.10:30
คำถามนำอภิปราย
- เวลานี้คุณคิดว่า คุณกำลังเป็นคริสเตียนประเภทใด?
…..1) คนที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ
…..2) พวกที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง?
ทำไมคุณจึงคิดเช่นนั้น?
- คุณมีปัญหากับตัวเองมากที่สุดในเรื่องอะไร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่ทำให้คุณไม่เจริญเติบโตในฝ่าย จิตวิญญาณ)? แล้วคุณจะแก้ไขอย่างไร?
- มีลักษณะอาการต่อไปนี้อยู่ในคริสตจักรของคุณหรือไม่?
…..1) การอิจฉากัน
…..2) การขัดเคืองใจ
คุณจะมีส่วนทำให้อาการเหล่านั้นลดลงหรือหมดลงได้อย่างไร?
- คุณมีส่วนทำให้คริสตจักรของคุณแตกแยกกันเป็นกลุ่มเป็นก๊ก (ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา) บ้างหรือไม่? แล้วคุณจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไรบ้าง?
- ใครบ้างที่มีส่วนต่อไปนี้ในชีวิตของคุณ?
…..1) หว่าน
…..2) รดน้ำ
เขาทำอะไร? อย่างไร? เมื่อไร? ที่ไหน?
- คุณได้กระทำอะไรเป็นการตอบแทนหรือขอบคุณบุคคลดังกล่าวในข้อ 5 บ้าง? อย่างไร?
- คุณเองเคยมีส่วนช่วยพัฒนาชีวิตของบุคคลใดจิตวิญญาณผ่านการกระทำต่อไปนี้บ้าง
…..1) การปลูก?
…..2) การรดน้ำ?
กับใคร? และอย่างไร?
- คุณได้วางรากฝ่ายจิตวิญญาณลงในชีวิตของผู้ใด อย่างนายช่างผู้ชำนาญบ้าง? อย่างไร?
- เวลานี้ คุณทำหน้าที่ในฐานะวิหารของพระเจ้าได้ดีแล้วหรือไม่? อย่างไร? มีอะไรที่คิดว่าจะปรับปรุงแก้ไขบ้าง? ทำไม? และอย่างไร?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์