อนิจจังและพระเจ้า
พระธรรม ปัญญาจารย์ 2:1-26
อ้างอิง 1พกษ.4:23;10:10,23-27;14-22;1พศด.29:25;9:22-27;2พศด.9:22-27;ปญจ.3:13;5:18;9:7;1:12-18; อสย.56:12;ลก.12:19;1คร.15:32;โยบ 5:7;14:1
บทนำ ความสนุกสนานและการตรากตรำทำงานไม่ได้ให้ความสุข ความหมายหรือความพึงพอใจที่แท้จริงแก่เรา หากว่าเราตัดพระเจ้าทิ้งออกไป!
บทเรียน
2:1 “ข้าพเจ้ารำพึงว่า “มาเถอะ มาลองสนุกสนานกันดู จงสนุกให้เต็มที่” แต่ดูเถิด เรื่องนี้ก็อนิจจังเช่นกัน”
(I said in my heart, “Come now, I will test you with pleasure; enjoy yourself.” But behold, this also was vanity. )
2:2 “ข้าพเจ้าพูดถึงการหัวเราะว่า “บ้าๆ บอๆ” และกล่าวถึงความสนุกสนานว่า “มีประโยชน์อะไร?”
(I said of laughter, “It is mad,” and of pleasure, “What use is it?” )
2:3 “ข้าพเจ้าใคร่ครวญดูว่าจะทำอย่างไร กายจึงคึกคักด้วยเหล้าองุ่น แต่ใจยังคงแนะนำข้าพเจ้าด้วยสติปัญญาพร้อมกับยึดความเขลาไว้ด้วย จนกระทั่งข้าพเจ้าเห็นได้ว่า มีสิ่งดีอะไรที่มนุษย์จะทำได้ภายใต้ท้องฟ้าตลอดชั่วอายุไม่กี่วันของเขา”
(I searched with my heart how to cheer my body with wine—my heart still guiding me with wisdom and how to lay hold on folly, till I might see what was good for the children of man to do under heaven during the few days of their life.)
2:4 “ข้าพเจ้ากระทำการใหญ่โต ข้าพเจ้าได้สร้างเรือนหลายหลัง และทำสวนองุ่นหลายแปลง”
(I made great works. I built houses and planted vineyards for myself. )
2:5 “ข้าพเจ้าทำสวนผลไม้และสวนหย่อนใจหลายแห่ง ปลูกไม้ผลทุกชนิดไว้ในสวนเหล่านั้น”
(I made myself gardens and parks, and planted in them all kinds of fruit trees. )
2:6 “ข้าพเจ้าสร้างสระน้ำหลายสระสำหรับตัวเอง เพื่อจะใช้น้ำในสระนั้นรดหมู่ไม้ที่กำลังงอกงาม”
(I made myself pools from which to water the forest of growing trees. )
2:7 “ข้าพเจ้าซื้อทาสชายหญิงไว้ และมีทาสเกิดขึ้นในบ้านของข้าพเจ้า นอกจากนั้นข้าพเจ้ามีฝูงโคฝูงแพะแกะมากกว่าทุกคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก่อนข้าพเจ้า”
(I bought male and female slaves, and had slaves who were born in my house. I had also great possessions of herds and flocks, more than any who had been before me in Jerusalem. )
2:8 “ข้าพเจ้าสะสมเงินทองไว้ด้วย และสะสมทรัพย์สมบัติอันควรคู่กับกษัตริย์และควรคู่กับเมืองทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีนักร้องชายหญิง และมีความสนุกสนานทางเพศ ซึ่งเป็นสิ่งชอบใจมนุษย์”
(I also gathered for myself silver and gold and the treasure of kings and provinces. I got singers, both men and women, and many concubines, the delight of the sons of man.)
2:9 “ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเป็นใหญ่และยิ่งใหญ่กว่าทุกคนที่เคยอยู่มาก่อนข้าพเจ้าในเยรูซาเล็ม และสติปัญญาของ ข้าพเจ้ายังคงอยู่กับข้าพเจ้าด้วย”
(So I became great and surpassed all who were before me in Jerusalem. Also my wisdom remained with me. )
2:10 “ทุกสิ่งที่นัยน์ตาของข้าพเจ้าอยากเห็น ข้าพเจ้าก็ไม่ปิดบัง ข้าพเจ้ามิได้ห้ามใจจากความสนุกสนานทุกอย่าง เพราะใจข้าพเจ้าพบความเพลิดเพลินจากการตรากตรำทั้งหมดของข้าพเจ้า และนี่เป็นรางวัลจากการตรากตรำของข้าพเจ้า”
(And whatever my eyes desired I did not keep from them. I kept my heart from no pleasure, for my heart found pleasure in all my toil, and this was my reward for all my toil.)
2: 11 “แล้วข้าพเจ้าหันมาดูทุกสิ่งที่มือข้าพเจ้าทำ และผลของการตรากตรำที่ข้าพเจ้าทำลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย และดูเถิด ทุกอย่างก็อนิจจังคือ กินลมกินแล้ง และไม่มีประโยชน์อะไรภายใต้ดวงอาทิตย์”
(Then I considered all that my hands had done and the toil I had expended in doing it, and behold, all was vanity and a striving after wind,and there was nothing to be gained under the sun.)
2:12 “ข้าพเจ้าจึงหันมาพิเคราะห์สติปัญญา ความบ้าบอ และความเขลา เพราะคนที่มาภายหลังกษัตริย์จะทำอะไรได้? นอกจากทำสิ่งที่เขาทำกันมานานแล้วนั้น”
(So I turned to consider wisdom and madness and folly. For what can the man do who comes after the king? Only what has already been done.)
2:13 “ข้าพเจ้าเห็นว่าสติปัญญามีประโยชน์กว่าความเขลา เหมือนความสว่างมีประโยชน์กว่าความมืด”
(Then I saw that there is more gain in wisdom than in folly, as there is more gain in light than in darkness.)
2:14 “คนมีสติปัญญารู้ว่าจะเดินไปทางไหน แต่คนเขลาเดินในความมืด ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ตระหนักว่า เคราะห์ อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่พวกเขาทุกคน”
(The wise person has his eyes in his head, but the fool walks in darkness. And yet I perceived that the same event happens to all of them. )
2:15 “ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่า “เคราะห์ที่เกิดแก่คนเขลา ก็จะเกิดกับตัวข้าพเจ้าด้วย ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายไปทำไมเล่า?” ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่าเรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน “
(Then I said in my heart, “What happens to the fool will happen to me also. Why then have I been so very wise?” And I said in my heart that this also is vanity. )
2:16 “เพราะไม่มีใครจดจำถึงคนมีสติปัญญาและคนเขลาตลอดไป เพราะเมื่อถึงเวลาในอนาคตก็ลืมกันไปหมดแล้ว โถ คนมีสติปัญญาก็ตายเหมือนคนเขลา”
(For of the wise as of the fool there is no enduring remembrance, seeing that in the days to come all will have been long forgotten. How the wise dies just like the fool!)
2:17 “ข้าพเจ้าจึงเกลียดชีวิต เพราะว่าการงานที่ทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ก่อความสลดใจให้แก่ข้าพเจ้า เพราะสาร พัดก็อนิจจังคือ กินลมกินแล้ง”
(So I hated life, because what is done under the sun was grievous to me, for all is vanity and a striving after wind.)
2:18 “ข้าพเจ้าเกลียดการตรากตรำทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจำต้องละการนั้นไว้ให้แก่คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า”
(I hated all my toil in which I toil under the sun, seeing that I must leave it to the man who will come after me, )
2:19 “แล้วใครจะไปทราบว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนมีสติปัญญาหรือคนเขลา กระนั้นเขาก็ครอบครองการตรากตรำทุกอย่างของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้ตรากตรำมาและใช้สติปัญญาทำภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่ก็อนิจจังด้วย”
(and who knows whether he will be wise or a fool? Yet he will be master of all for which I toiled and used my wisdom under the sun. This also is vanity.)
2:20 “ข้าพเจ้าจึงหันกลับและท้อแท้ใจนักถึงเรื่องการตรากตรำทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำมาภายใต้ดวงอาทิตย์”
(So I turned about and gave my heart up to despair over all the toil of my labors under the sun,)
2:21 “เพราะว่ามีคนที่ตรากตรำโดยใช้สติปัญญา ความรู้ และความชำนาญ แต่แล้วก็ละส่วนแบ่งของเขาให้อีกคนหนึ่งที่หาได้ตรากตรำทำเพื่อการนั้นไม่ นี่ก็อนิจจังด้วยและสามานย์ยิ่ง”
(because sometimes a person who has toiled with wisdom and knowledge and skill must leave everything to be enjoyed by someone who did not toil for it. This also is vanity and a great evil. )
2:22 “เพราะว่ามนุษย์ได้อะไรจากการตรากตรำทั้งสิ้น และการดิ้นรนที่เขาต้องตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์เล่า?”
(What has a man from all the toil and striving of heart with which he toils beneath the sun? )
2:23 “เพราะว่าปีเดือนทั้งหมดของเขามีแต่ความเจ็บปวด และภารกิจของเขาก่อความทุกข์ระทม ถึงกลางคืนจิตใจของเขาก็ไม่หยุดพักสงบ นี่ก็อนิจจังด้วย”
(For all his days are full of sorrow, and his work is a vexation. Even in the night his heart does not rest. This also is vanity.)
2:24 “สำหรับมนุษย์นั้นไม่มีอะไรดีไปกว่ากินและดื่ม กับชื่นชมผลจากการตรากตรำของเขา นี่แหละข้าพเจ้าเห็นด้วยว่าเป็นมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า”
(There is nothing better for a person than that he should eat and drink and find enjoyment in his toil. This also, I saw, is from the hand of God,)
2:25 “ด้วยถ้าไม่อาศัยพระองค์แล้วใครจะกินได้เล่า? หรือใครจะชื่นบานได้?”
(for apart from him who can eat or who can have enjoyment? )
2:26 “เพราะว่าพระเจ้าประทานสติปัญญา ความรู้ และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์พอพระทัย แต่ส่วนคนบาป พระองค์ประทานภารกิจที่ต้องเก็บเกี่ยวและสะสม เพื่อให้แก่ผู้ที่พระเจ้าพอพระทัยนี่ก็อนิจจังด้วยคือ กินลม กินแล้ง”
(For to the one who pleases him God has given wisdom and knowledge and joy, but to the sinner he has given the business of gathering and collecting, only to give to one who pleases God. This also is vanity and a striving after wind.)
ข้อมูลมีประโยชน์
2:1 “ข้าพเจ้ารำพึง” (I said in my heart) = คิดในใจ (ข.15;1:16)
“ลองสนุกสนานกันดู” (I will test you with pleasure) = ปญจ. 2:24;7:4;8:15
“จงสนุกให้เต็มที่” (enjoy yourself) = อาจแปลได้อีกว่า “เพื่อค้นหาสิ่งดี ๆ “
( คำว่า “ดี” และ “ดีกว่า” ปรากฏในพระธรรมตอนนี้ราว ๆ 40 ครั้ง)
2:2 “การหัวเราะ” (laughter) – สภษ.14:13
2:3 “เหล้าองุ่น” (wine) –ปญจ.2:24-25;3:12-13;5:18;8:15;วนฉ.9:13;นรธ.3:3
“แต่ใจยังคงแนะนำข้าพเจ้าด้วยสติปัญญา” (my heart still guiding me with wisdom) = ตั้งแต่ต้นจนจบผู้เขียนให้ปัญญาในการค้นหาสิ่งดี และมีคุณค่า (ข.1,3,9)
“ความเขลา” (folly) –ปญจ.1:17
2:4-9 – ใน 1พกษ. 4-11 ได้บรรยายถึงสง่าราศีและบรรดามเหสีและนางสนมของซาโลมอน
2:4 “สร้างเรือนหลายหลัง” (built houses) -2พศด.2:1;8:16
“ทำสวยองุ่นหลายแปลง” (planted vineyards) -พซม.8:11
2:7 “ทาสอื่น ๆ “ (slaves) –2พศด.8:7-8
2:8 “เมืองทั้งหลาย” (provinces) = บางฉบับแปลว่า “แว่นแคว้นต่าง ๆ” = อาจหมายถึงดินแดนใกล้เคียงที่ส่งบรรณาการให้
“มีความสนุกสนานทางเพศ” (many concubines, the delight of the sons of man) = บางฉบับแปลว่า มี “ฮาเร็ม อันเป็นสิ่งที่ถูกใจผู้ชาย”
-คำว่า “อาเร็ม” นี้ ปรากฏที่นี่เพียงแห่งเดียวในพระคัมภีร์เกี่ยวข้องกับการมีนางสนม (ซึ่งซาโลมอน มีนางสนม 300 คน และมเหสี 700 คน –1พกษ.11:3)
2:9 “เคยอยู่ก่อนข้าพเจ้า” (who were before me) 1พศด.29:35
“ในเยรูซาเล็ม” (in Jerusalem) –ปญจ.1:2,16
2:10 “การตรากตรำทั้งหมด” (in all my toi) = ผลงานและการลงทุนลงแรง
= แนวคิดสำคัญในพระธรรมปัญญาจารย์ คือ ความอนิจจัง (ข.11) ของการตรากตรำ การลงทุนลงแรง ทำงานทั้งหมด โดยปราศจากพระเจ้า คำเหล่านี้ปรากฏราว 40 ครั้ง
20:11 “กินลมกินแล้ง” (a striving after wind) = เหมือนวิ่งไล่ตามลม –ปญจ.1:14
“ภายใต้ดวงอาทิตย์” (under the sun) –ปญจ.1:3
2:12-17 – ผู้เขียนพระธรรมปัญญาจารย์ย้อนกลับมาที่ความโง่เขลาในการพยายามแสวงหาความพึงพอใจจากปัญญาของมนุษย์เพียงอย่างเดียว –1:16-18
2:12 “คนที่มาภายหลังกษัตริย์” ( who comes after the king) = อาจหมายถึงตัวปัญญาจารย์ (1:1) หรือผู้ที่สืบทอดภายหลังตัวเขา (4:15-16)
2:13 “สติปัญญามีประโยชน์กว่าความเขลา” (more gain in wisdom than in folly) = แม้แต่ปัญญาของโลกโดยทั่วไปก็ยังดีกว่าความโฉดเขลา แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่มีค่าอะไร –ปญจ.7:11-12,19;9:18
2:14 “รู้ว่าจะเดินไปทางไหน” (has his eyes in his head) = ในบางฉบับแปลว่า “มีตาอยู่ในสมอง” ในภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า “มีตาอยู่ในหัว”
คำว่า “ตา” = “ความเข้าใจ”
“เคราะห์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่พวกเขาทุกคน” (the same event happens to all of them) = ไม่มีใครหนีพ้นชะตากรรมเดียวกันที่เกิดขึ้นกับผู้เชื่อที่มีปัญญาและผู้ไม่เชื่อที่โฉดเขลา -ข.14;สดด.49:10;ปญจ.3:19;6:6;7:2;9:3,11-12
2:15 “ข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายไปทำไมเล่า?” (Why then haveI been so very wise?) = ฉลาดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา? –ปญจ.2:19;6:8
2:16 “ไม่มีใครจดจำ” (no enduring remembrance) –สดด.112:6
= ไม่อยู่ในความทรงจำเนิ่นนาน
“ลืมกันไปหมดแล้ว” (forgotten) = ไม่ว่าคนฉลาดหรือคนโง่หรืแม้แต่วีรบุรุษหรือผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ในไม่ช้าก็ถูกลืมเลือนไปทั้งคู่ –ปญจ.1:11
“คนมีสติปัญญาก็ตายเหมือนคนเขลา” (the wise dies just like the fool ) –สดด.49:10
2:17-23 –การแสวงหาความอิ่มใจจากการงานที่ทำเป็นความทุกข์โศก และการไร้ความหมาย ซึ่งนำไปสู่ความสิ้นหวังและในไม่ช้าผลงานนั้นจะถูกทิ้งไว้ให้ผู้อื่น ซึ่งไม่มีทางคาดเดาได้ว่า จะเป็นผู้ใดมารับเอาไป
2:17 “กินลมกินแล้ง” (a striving after wind) = วิ่งไล่ตามลม –ปญจ.1:14
2:18 “ข้าพเจ้าจำต้องละการนั้นไว้ให้แก่คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า” (I must leave it to the man who will come after me) –ข.21;สดด.39:6;ลก.12:20
2:19 “แล้วใครจะไปทราบว่า” (who knows whether) = ใครเล่าจะรู้? -3:21
“คนนั้นจะเป็นคนมีสติปัญญาหรือคนเขลา” (he will be wise or a fool) –ปญจ.2:15
2:22 “การตรากตรำทั้งสิ้นและการดิ้นรนที่เขาต้องตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์เล่า?” (the toil and striving of heart with which he toils beneath the sun) –ปญจ.1:3
2:23 “ปีเดือนทั้งหมดของเขามีแค่ความเจ็บปวด…ความทุกข์ระทม…ไม่หยุดพักสงบ” (his days are full of sorrow, … a vexation. .. not rest.) –ปญจ.1:18;ปฐก.3:17;โยบ.2:10
2:24-26 = หัวใจของพระธรรมปัญญาจารย์และถึงจุดสูงสุดใน 12:13
= ในพระเจ้าเท่านั้น ที่ชีวิตจะมีความหมายและมีความสุขแท้ หากปราศจากพระเจ้าก็จะไม่มีอะไรเต็มอิ่ม และความพึงพอใจอันแท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราได้ยอมรับและยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น (12:13)
2:24 “กินและดื่ม” (eat and drink) –ปญจ.2:3;1คร.15:32
“ชื่นชมผลของการตรากตรำของเขา” (find enjoyment in his toil) = หาความอิ่มใจในงานของตัวเอง –ปญจ.2:1;3:22
“…เป็นมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า” (is from the hand of God) –โยบ 2:10;ปญจ.3:12-13,22;5:17- 20;7:14;8:15;9:7-10;11:7-10
2:25 “ด้วยถ้าไม่อาศัยพระองค์” (for apart from him) = ภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า “ด้วยถ้าไม่อาศัยเรา”
“ใครจะชื่นบานได้” (who can have enjoyment?) –สดด.127:2
2:26 “สติปัญญา” (wisdom) –โยบ 9:4
“แต่ส่วนคนบาป” (but to the sinner) = สิ่งนี้น่าจะเป็นกฎเกณฑ์โดยทั่วไป แต่ก็อาจมีข้อยกเว้นในบางครั้ง อาทิ ใน 8:14;สดด.73:1-12
คำถามนำอภิปราย
- คุณเคยแสวงหาความสนุกสนานแบบเต็มที่ในรูปแบบใด อย่างไรบ้าง? แล้วคุณรู้สึกมีความสุขยาวนานหรือไม่? อย่างไร?
- คุณเคยมีประสบการณ์ประเภทใดต่อไปนี้บ้าง?
1) สนุกสนานแบบคนเขลาคือ …………………………………………………………………………………….
2) สนุกสนานแบบคนมีสติปัญญา คือ …………………………………………………………………………..
3) สนุกสนานแบบคนมีปัญญาผสมแบบคนเขลาคือ………………………………………………………..
แล้วผลเป็นอย่างไร
- คุณเคยลงทุนมากที่สุดกับการแสวงหาความพอใจในชีวิตของคุณในเรื่องอะไร? ผลอย่างไร?
- มีการลงทุนอะไรบ้างที่คุณเคยทำและได้ผลตอบสนองอย่างคุ้มค่าที่สุด ทั้งรางวัลและความเพลิดเพลิน?
- คุณเคยรู้สึกอนิจจังกับผลของการทุ่มเทตรากตรำที่ทำลงไปบ้างหรือไม่? ทำไมจึงเกิดความรู้สึกเช่นนั้น? เมื่อไร? แล้วเกิดอะไรตามมา?
- คุณเข้าใจอย่างไรบ้างกับประโยคที่ว่า “เคราะห์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่พวกเขาทุกคน”? ความจริงข้อนี้
ส่งผลกระทบต่อจิตใจและชีวิตของคุณอย่างไร?
- การที่คุณตระหนักว่า ในที่สุดทุกอย่างที่คุณตรากตรำทำงานเพื่อจะได้มานั้นจะต้องถูกทิ้งไว้ให้กับคนอื่นที่มาภายหลังคุณ ได้ให้สติหรือข้อคิดอะไรต่อคุณบ้าง? อย่างไร?
- ข้อพระธรรมในปัญญาจารย์ 2:24-26 ก่อเกิดแรงบันดาลใจ การท้าทายหรือแนวทางการดำเนินชีวิตอะไรในมุมมองใหม่ ๆ ให้แก่คุณบ้าง? และคุณจะทำอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่คุณเคยทำบ้าง?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์