ความทรงจำที่แสนสุข
“บางครั้งคุณไม่รู้จัก “คุณค่า” อันแท้จริงของช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง จนกระทั่งมันได้กลับกลายเป็น “ความทรงจำ”!
(Sometimes you will never know the true value of a moment until it becomes a memory.)
คำว่า “จำ” หมายความว่า “กำหนดไว้ในใจ” หรือ “ระลึกได้”
ชีวิตของคนเราในบั้นปลายสุดท้าย ก็ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความทรงจำ
ร่างกายสังขารก็เสื่อมและทุรดโทรมลง จนไม่เชื่อฟังสมองหรือหัวใจของเราอีกต่อไป
เงินทองสิ่งของที่มีอยู่ก็แทบไม่มีความหมายอีกต่อไป เมื่อร่างกายไม่สามารถจะชื่นชมกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้เหมือนเคย !
เพื่อนฝูง/ญาติมิตรที่คุ้นเคยก็ค่อย ๆ ล้มหายตายจากไปทีละคน 2 คน ชีวิตต้องปรับตัวกับคนใหม่ ๆ อีกครั้งที่ไม่ใช่เรื่องง่ายในการปรับสภาพแวดล้อมหรือแม้แต่สถานที่ที่เคยคุ้นเคยก็เปลี่ยนไป สถานที่โปรด/ร้านที่ชอบ ก็ถูกเนรมิตรให้กลายเป็นคอนโดหรืออาคารใหญ่สร้างทับลงบนพื้นที่ตรงนั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลือก็คือ แค่ความทรงจำ!
หากชีวิตของเราในบั้นปลายมีแต่ความทรงจำดี ๆ ที่น่าจดจำ ชีวิตนั้นก็จะเป็นสุข!
แต่หากในบั้นปลายชีวิตเรามีแต่ความทรงจำในเรื่องไม่น่าจดจำ ชีวิตของเราจะเปรียบเสมือนอยู่ในนรก!
ดังนั้น ภารกิจเร่งด่วนของเราก็คือ ต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขความทรงจำของเราให้เป็น + ในทุกเรื่อง ก่อนที่จะสายเกินไป
อาทิ หากเรามีความขุ่นเคืองขัดแย้งกับผู้ใด ก็ให้ทำตามพระคัมภีร์สอน คือ ไปหาผู้นั้น ยกโทษ หรือ ขอโทษเขา และปรับความเข้าใจกัน เพื่อได้มิตรภาพหรือพี่น้องกลับคืนมา ความทรงจำในแง่ลบก็จะกลายเป็นบวกทันที
หรือ หากเรามีประสบการณ์ฝังใจในแง่ลบกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาจจะเป็นความผิดพลาดหรือความผิดบาปบางอย่างที่คิดถึงทีไรไม่สบายใจทุกที เราต้องรีบไปแก้ไขให้ถูกต้อง
เช่น เคยลักขโมยของผู้ใดไป ก็ให้เอาไปคืน
เช่น เคยพูดจา/เขียน หรือทำอะไรให้ผู้ใดเสียใจหรือเสียชื่อเสียง ก็ไปแก้ไขสิ่งที่พูดที่เขียนให้ถูกต้อง
เช่น เคยละเลยในการเลี้ยงดู/ดูแลหรือทำหน้าที่ของตนบางอย่าง ก็กลับไปรับผิดชอบและชดเชยให้ถูกต้องหรือให้ดีที่สุด
สำหรับผม ผมมาเชื่อและเป็นคริสเตียนเพียงคนเดียวในบ้าน และไม่สามารถช่วยนำคนใดในครอบครัวมาหาพระเจ้าได้เลย ในช่วงเวลา 30 ปีของการเชื่อในพระเจ้า ผมรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดฟ้องตลอดเวลาว่า ถ้าผมเชื่อจริง ๆ ว่า การรู้จักพระคริสต์เป็นทางรอดจากบาปและความตาย และผมจะรอดแน่นอน แต่ผมกลับปล่อยให้คนในครอบครัวของผมไม่มีใครรอดเลย …แล้วถ้าหากวาระสุดท้ายมาถึงคนในครอบครัวของผมเหล่านั้น ความทรงจำของผมจะไม่ตามหลอกหลอนผมไปชั่วนิรันดร์หรอกหรือ?
ผมจึงอธิษฐานกับพระเจ้า ขอโปรดเมตตาประทานความรอดให้คนในครอบครัวของผม โดยผมยินดีกระทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้พวกเขาได้รู้จักกับพระองค์เป็นส่วนตัว!
ขอบคุณพระเจ้า ที่พี่ชายคนถัดจากผมมาเชื่อพระเจ้าก่อนเป็นคนแรก เมื่อราว 20 กว่าปีก่อน จากนั้นคุณแม่ก็มาเชื่อเมื่อราว 10 กว่าปีก่อน ตามมาด้วยหลานสาวมาเชื่อพระเจ้า และพี่สาวคนเดียว (ที่เป็นคุณแม่ของหลานสาวคนนั้น) จนกระทั่งเมื่อเดือนสองเดือนที่เพิ่งผ่านมา พี่ชายคนรองของผมที่เคยปฏิเสธพระเจ้ามาตลอด (เพราะมีอาชีพสร้างรูปเคารพ) ก็ตัดสินใจต้อนรับพระคริสต์ (ก่อนเสียชีวิตเพียง 1 เดือน)!
และที่ผมขอบคุณพระเจ้ามากที่สุดก็คือ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว (13 ก.ค.2014) พี่ชายคนโตของผม(ที่เคยส่งผมเรียนหนังสือ) และลูกชายของเขา ได้ประกาศตัวรับเชื่อพระคริสต์ ที่คริสตจักรนิมิตใหม่ ในโอกาสฉลอง 32 ปี (โดย ที่ CJ มีตัวแทนร่วมแสดงความยินดีด้วย คือคุณปุ๊กับคุณเล็ก)
บัดนี้ ผมจึงสามารถกล่าวออกมาด้วยความสุขใจว่า ความทรงจำของผมต่อครอบครัวเปลี่ยนไป จากที่เคยหม่นหมอง สิ้นหวัง ได้กลับกลายเป็นความทรงจำที่สดใสมีความหวัง
ดังนั้นพี่น้องที่รัก!
คุณไม่มีทางกลับไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอดีตของคุณได้อีกแล้ว แต่ว่าคุณยังสามารถแก้ไขปัจจุบันของคุณเพื่อจะทำให้มันกลายเป็นอดีตของอนาคตที่คุณสามารถมองย้อนกลับมาด้วยความสุขใจได้ !
คุณพร้อมที่จะลงมือสร้างความทรงจำที่แสนสุขสำหรับอนาคตของคุณแล้วหรือไม่?
…ขอให้คุณเริ่มต้น ตั้งแต่วันนี้เลย จะดีไหมครับ?
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-
twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer