สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน
พระธรรม 2พงศ์กษัตริย์ 17:1-41
อ้างอิง 1พกษ.7:23-39;12:28;14:23;อสย.14:26;2พศด.4:2-6;ฉธบ.18:10;5:9;6:13;ปฐก.32:28;35:10;อพย.20:5
บทนำ แปลกที่คนเรามักไม่ยอมเรียนรู้บทเรียนจากประวัติศาสตร์ วงล้อแห่งความเจ็บปวดจากอดีตจึงหมุนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า!
คนของพระเจ้าที่ไม่ถ่อมใจเรียนรู้จักราชาธิปไตยของพระเจ้า จะต้องได้รับผลเสีย จนอาจสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินสิ้นกษัตริย์
บทเรียน
17:1 “ในปีที่ 12 แห่งรัชกาลอาหัสพระราชาแห่งยูดาห์ โฮเชยาบุตรเอลาห์ได้ขึ้นครองราชย์ในกรุงสะมาเรีย และทรงครองอิสราเอลอยู่ 9 ปี”
(In the twelfth year of Ahaz king of Judah, Hoshea the son of Elah began to reign in Samaria over Israel, and he reigned nine years.)
17:2 “และพระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ก็ไม่เหมือนกับบรรดาพระราชาแห่งอิสราเอลที่อยู่ก่อนพระองค์”
(And he did what was evil in the sight of the Lord, yet not as the kings of Israel who were before him.)
17:3 “แชลมาเนเสอร์พระราชาแห่งอัสซีเรียได้ทรงยกทัพมารบกับ พระองค์ และโฮเชยาทรงยอมเป็นเมืองขึ้นและถวายเครื่องบรรณาการ”
(Against him came up Shalmaneser king of Assyria. And Hoshea became his vassal and paid him tribute.)
17:4 “แต่พระราชาแห่งอัสซีเรียทรงพบว่าโฮเชยาเป็นกบฏ เพราะโฮเชยาทรงใช้ผู้สื่อสารไปยังโสพระราชาแห่งอียิปต์ และไม่ยอมถวายเครื่องบรรณาการแก่พระราชาแห่งอัสซีเรีย อย่างที่ทรงเคยทำมาทุกปี เพราะฉะนั้นพระราชาแห่งอัสซีเรียจึงขังพระองค์ไว้ และจำพระองค์ไว้ในคุก”
(But the king of Assyria found treachery in Hoshea, for he had sent messengers to So, king of Egypt, and offered no tribute to the king of Assyria, as he had done year by year. Therefore the king of Assyria shut him up and bound him in prison. )
17:5 “แล้วพระราชาแห่งอัสซีเรียก็ทรงบุกเข้าทั่วแผ่นดิน และขึ้นมายังกรุงสะมาเรียและทรงล้อมเมืองไว้ 3 ปี”
(Then the king of Assyria invaded all the land and came to Samaria, and for three years he besieged it.)
17:6 “ในปีที่ 9 แห่งรัชกาลโฮเชยา พระราชาแห่งอัสซีเรียยึดกรุงสะมาเรียได้ พระองค์ทรงกวาดต้อนคนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย และให้พวกเขาอยู่ที่ฮาลาห์ และข้างแม่น้ำฮาโบร์แห่งเมืองโกซาน และในเมืองต่างๆ ของคนมีเดีย”
(In the ninth year of Hoshea, the king of Assyria captured Samaria, and he carried the Israelites away to Assyria and placed them in Halah, and on the Habor, the river of Gozan, and in the cities of the Medes.)
17:7 “ที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะคนอิสราเอลได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของตน ผู้ทรงนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากพระหัตถ์ของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และเพราะพวกเขาได้นมัสการพระอื่นๆ”
(And this occurred because the people of Israel had sinned against the Lord their God, who had brought them up out of the land of Egypt from under the hand of Pharaoh king of Egypt, and had feared other gods)
17:8 “และได้ดำเนินตามธรรมเนียมปฏิบัติของประชาชาติ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ไปเสียให้พ้นหน้าคนอิสราเอล และตามกฎเกณฑ์ที่บรรดาพระราชาแห่งอิสราเอลทรงนำเข้ามา”
(and walked in the customs of the nations whom the Lord drove out before the people of Israel, and in the customs that the kings of Israel had practiced. )
17:9 “และคนอิสราเอลได้ทำสิ่งที่ไม่ชอบต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของตน อย่างลับๆ เขาทั้งหลายได้สร้างปูชนียสถานสูงสำหรับตนทั่วบ้านทั่วเมือง ตั้งแต่ที่ที่มีหอสังเกตการณ์ จนถึงเมืองที่มีป้อม”
(And the people of Israel did secretly against the Lord their God things that were not right. They built for themselves high places in all their towns, from watchtower to fortified city.)
17:10 “พวกเขาได้ตั้งเสาศักดิ์สิทธิ์และเสาอาเช-ราห์บนเนินเขาสูงทุกแห่ง และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น”
(They set up for themselves pillars and Asherim on every high hill and under every green tree, )
17:11 “ณ ที่นั่น พวกเขาได้เผาเครื่องหอมบนปูชนียสถานสูงทุกที่ ตามอย่างประชาชาติซึ่งพระยาห์เวห์ทรงกวาดไปเสียต่อหน้า พวกเขา และเขาทั้งหลายได้ทำสิ่งชั่ว ทำให้พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธ”
(and there they made offerings on all the high places, as the nations did whom the Lord carried away before them. And they did wicked things, provoking the Lord to anger, )
17:12 “เขาทั้งหลายปรนนิบัติรูปเคารพ ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่เขาแล้วว่า “เจ้าอย่าทำอย่างนี้”
(and they served idols, of which the Lord had said to them, “You shall not do this.” )
17:13 “พระยาห์เวห์ยังทรงตักเตือนอิสราเอลและยูดาห์ ทางผู้เผยวจนะทุกคนและผู้ทำนายทุกคนว่า “จงหันจากทางชั่วทั้งหลายของเจ้า และรักษาพระบัญญัติของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งเราได้บัญชาแก่บรรพบุรุษของเจ้า และซึ่งเราได้ส่งมายังเจ้าทางผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของ เรา”
(Yet the Lord warned Israel and Judah by every prophet and every seer, saying, “Turn from your evil ways and keep my commandments and my statutes, in accordance with all the Law that I commanded your fathers, and that I sent to you by my servants the prophets.”)
17:14 “แต่พวกเขาไม่ฟังและดื้อดึงเหมือนอย่างบรรพบุรุษของพวกเขา ผู้ไม่เชื่อถือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา”
(But they would not listen, but were stubborn, as their fathers had been, who did not believe in the Lord their God. )
17:15 “เขาได้ปฏิเสธกฎเกณฑ์และพันธสัญญาของพระองค์ ซึ่งทรงทำกับบรรพบุรุษของเขา รวมทั้งพระดำรัสเตือนซึ่งประทานแก่เขา เขาทั้งหลายติดตามสิ่งไร้ค่าและกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไป และเขาทำตามประชาชาติที่อยู่รอบๆ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงห้ามเขาทำตาม”
(They despised his statutes and his covenant that he made with their fathers and the warnings that he gave them. They went after false idols and became false, and they followed the nations that were around them, concerning whom the Lord had commanded them that they should not do like them. )
17:16 “และเขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของตน และได้หล่อรูปเคารพสำหรับตนเป็นลูกวัวสองตัว และเขาได้สร้างเสาอาเช-ราห์ และโน้มตัวลงกราบบรรดาบริวารของฟ้าสวรรค์ และปรนนิบัติพระบาอัล”
(And they abandoned all the commandments of the Lord their God, and made for themselves metal images of two calves; and they made an Asherah and worshiped all the host of heaven and served Baal. )
17:17 “เขาทั้งหลายได้ให้บุตรชายหญิงของเขาลุยไฟ และเขาได้ทำนายโชคชะตาและทำเวทมนตร์ ทั้งขายตัวเองไปทำสิ่งชั่วร้ายในสาย พระเนตรของพระยาห์เวห์ ทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธ”
(And they burned their sons and their daughters as offerings and used divination and omens and sold themselves to do evil in the sight of the Lord, provoking him to anger. )
17:18 “เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธต่ออิสราเอลยิ่งนัก และทรงให้พวกเขาออกไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์ ไม่มีใครเหลืออยู่นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น”
(Therefore the Lord was very angry with Israel and removed them out of his sight. None was left but the tribe of Judah only.)
17:19 “ยูดาห์ไม่ได้รักษาพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาด้วย แต่ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของอิสราเอลที่ได้ทำกัน”
(Judah also did not keep the commandments of the Lord their God, but walked in the customs that Israel had introduced.)
17:20 “และพระยาห์เวห์ทรงปฏิเสธเชื้อสายทั้งสิ้นของอิสราเอล และทรงให้เขาทั้งหลายทนทุกข์ และมอบเขาไว้ในมือของผู้ปล้น จนกว่า พระองค์ได้ทรงเหวี่ยงเขาไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์”
(And the Lord rejected all the descendants of Israel and afflicted them and gave them into the hand of plunderers, until he had cast them out of his sight.)
17:21 “เพราะพระองค์ทรงฉีกอิสราเอลจากราชวงศ์ของดาวิด และพวกเขาได้ตั้งเยโรโบอัมบุตรเนบัทให้เป็นพระราชา และเยโรโบอัมทรงชักนำอิสราเอลไปจากการติดตามพระยาห์เวห์ และนำให้พวกเขาทำบาปอย่างใหญ่หลวง”
(When he had torn Israel from the house of David, they made Jeroboam the son of Nebat king. And Jeroboam drove Israel from following the Lord and made them commit great sin. )
17:22 “คนอิสราเอลได้ดำเนินในบาปทั้งสิ้น ซึ่งเยโรโบอัมได้ทรงกระทำ เขาทั้งหลายไม่ได้หันจากบาปเหล่านั้นเลย”
(The people of Israel walked in all the sins that Jeroboam did. They did not depart from them,
17:23 “จนพระยาห์เวห์ทรงให้อิสราเอลออกไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์ ตามที่ตรัสทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์อิสราเอล จึงถูกกวาดจากแผ่นดินของตนไปเป็นเชลยในอัสซีเรีย จนทุกวันนี้”
(until the Lord removed Israel out of his sight, as he had spoken by all his servants the prophets. So Israel was exiled from their own land to Assyria until this day.)
17:24 “พระราชาแห่งอัสซีเรียทรงนำประชาชนมาจากบาบิโลน คูธาห์ อัฟวา ฮามัท เสฟารวาอิม และให้พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของ สะมาเรียแทนประชาชนอิสราเอล พวกเขาก็เข้าถือกรรมสิทธิ์สะมาเรีย และอาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น”
(And the king of Assyria brought people from Babylon, Cuthah, Avva, Hamath, and Sepharvaim, and placed them in the cities of Samaria instead of the people of Israel. And they took possession of Samaria and lived in its cities. )
17:25 “และตั้งแต่แรกที่พวกเขามาอาศัยอยู่ที่นั่น เขาก็ไม่ได้ยำเกรงพระยาห์เวห์ ฉะนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงให้สิงโตมาท่ามกลางเขา พวกมันฆ่าบางคนในพวกเขา”
(And at the beginning of their dwelling there, they did not fear the Lord. Therefore the Lord sent lions among them, which killed some of them. )
17:26 “เพราะฉะนั้นมีผู้ไปทูลพระราชาแห่งอัสซีเรียว่า “ประชาชาติซึ่งฝ่าพระบาททรงพาไปอยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรียนั้น ไม่รู้ธรรมเนียมของพระของแผ่นดินนั้น ฉะนั้นพระจึงให้สิงโตมาท่ามกลางเขา และดูสิ พวกมันได้ฆ่าพวกเขาเสีย เพราะเขาไม่รู้ธรรมเนียมของพระของแผ่นดินนั้น”
(So the king of Assyria was told, “The nations that you have carried away and placed in the cities of Samaria do not know the law of the god of the land. Therefore he has sent lions among them, and behold, they are killing them, because they do not know the law of the god of the land.” )
17:27 “แล้วพระราชาแห่งอัสซีเรียจึงบัญชาว่า “จงนำคนหนึ่งในพวกปุโรหิตที่พวกเจ้ากวาดต้อนมาจากที่นั่น ไปที่นั่น จงให้เขาไปอยู่ที่นั่น และให้สั่งสอนธรรมเนียมของพระของแผ่นดินนั้น”
(Then the king of Assyria commanded, “Send there one of the priests whom you carried away from there, and let him go and dwell there and teach them the law of the god of the land.” )
17:28 “ฉะนั้นคนหนึ่งในพวกปุโรหิตที่พวกเขากวาดมาจากสะมาเรีย จึงไปอาศัยอยู่ที่เมืองเบธเอลและสั่งสอนเขาทั้งหลายว่า เขาจะต้องยำเกรงพระยาห์เวห์อย่างไร”
(So one of the priests whom they had carried away from Samaria came and lived in Bethel and taught them how they should fear the Lord.)
17:29 “แต่ว่าประชาชาติทั้งสิ้นยังสร้างรูปพระของตนเอง และตั้งไว้ในนิเวศแห่งปูชนียสถานสูงซึ่งชาวสะมาเรียได้ สร้างไว้ในเมืองต่างๆ ที่ประชาชาติทั้งสิ้นอาศัยอยู่”
(But every nation still made gods of its own and put them in the shrines of the high places that the Samaritans had made, every nation in the cities in which they lived. )
17:30 “ชาวบาบิโลนสร้างพระสุคคทเบโนท ชาวคูทสร้างพระเนอร์กัล ชาวฮามัทสร้างพระอาชิมา”
(The men of Babylon made Succoth-benoth, the men of Cuth made Nergal, the men of Hamath made Ashima, )
17:31 “ชาวอัฟวาสร้างพระนิบหัสและพระทารทัก ชาวเสฟารวาอิมเผาเด็กของตนในไฟถวายพระอัดรัมเมเลคและพระอานัมเมเลค ซึ่งเป็นพระของเมืองเสฟารวาอิม”
(and the Avvites made Nibhaz and Tartak; and the Sepharvites burned their children in the fire to Adrammelech and Anammelech, the gods of Sepharvaim. )
17:32 “ประชาชาติ เหล่านี้นมัสการพระยาห์เวห์ด้วย แต่ได้ตั้งปุโรหิตแห่งปูชนียสถานสูงจากท่ามกลางพวกเขา ให้ทำหน้าที่เพื่อพวกเขาในนิเวศแห่งปูชนียสถานสูง”
(They also feared the Lord and appointed from among themselves all sorts of people as priests of the high places, who sacrificed for them in the shrines of the high places. )
17:33 “เขาจึงยำเกรงพระยาห์เวห์ แต่ก็ปรนนิบัติบรรดาพระของเขาเองด้วย ตามธรรมเนียมของบรรดาประชาชาติที่พวกอัสซีเรียกวาดเขามา จากที่นั้น”
(So they feared the Lord but also served their own gods, after the manner of the nations from among whom they had been carried away.)
17:34 “ทุกวันนี้เขาก็ทำตามธรรมเนียมเดิม เขาทั้งหลายไม่ยำเกรงพระยาห์เวห์ ไม่ทำตามกฎเกณฑ์ หรือกฎหมาย หรือธรรมบัญญัติ หรือพระบัญญัติ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาแก่ลูกหลานของยาโคบ ผู้ที่พระองค์ประทานนามให้ว่าอิสราเอล”
(To this day they do according to the former manner. They do not fear the Lord, and they do not follow the statutes or the rules or the law or the commandment that the Lord commanded the children of Jacob, whom he named Israel. )
17:35 “พระยาห์เวห์ทรงทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลายและบัญชาเขาว่า “อย่ายำเกรงพระอื่นๆ หรือกราบนมัสการ พระนั้น หรือ ปรนนิบัติ หรือถวายสัตวบูชาแก่พระนั้น”
(The Lord made a covenant with them and commanded them, “You shall not fear other gods or bow yourselves to them or serve them or sacrifice to them, )
17:36 “แต่เจ้าจงยำเกรงพระยาห์เวห์ ผู้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ และด้วยพระกรที่เหยียดออก เจ้าจงนมัสการพระองค์ และจงถวายสัตวบูชาแด่พระองค์”
(but you shall fear the Lord, who brought you out of the land of Egypt with great power and with an outstretched arm. You shall bow yourselves to him, and to him you shall sacrifice. )
17:37 “และกฎเกณฑ์ กฎหมาย และธรรมบัญญัติ และพระบัญญัติซึ่งพระองค์ทรงจารึกสำหรับพวกเจ้า เจ้าจงระวังที่จะทำตามเสมอ เจ้าอย่ายำเกรงพระอื่นเลย”
(And the statutes and the rules and the law and the commandment that he wrote for you, you shall always be careful to do. You shall not fear other gods, )
17:38 “เจ้าอย่าลืมพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับเจ้า และอย่ายำเกรงพระอื่นเลย”
(and you shall not forget the covenant that I have made with you. You shall not fear other gods)
17:39 “แต่เจ้าทั้งหลายจงยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า และพระองค์จะทรงช่วยกู้เจ้าให้พ้นมือศัตรูทั้งสิ้นของเจ้า”
(but you shall fear the Lord your God, and he will deliver you out of the hand of all your enemies.)
17:40 “พวกเขาไม่ได้ฟัง แต่ยังทำตามธรรมเนียมเดิมของตน”
(However, they would not listen, but they did according to their former manner.)
17:41 “ดังนั้นประชาชาติเหล่านี้จึงยำเกรงพระยาห์เวห์ และปรนนิบัติรูปเคารพสลักของพวกเขาด้วย ลูกของพวก เขาก็เช่นเดียวกัน หลานของพวกเขาก็เช่นเดียวกัน บรรพบุรุษของพวกเขาทำอย่างไร พวกเขาก็ทำอย่างนั้นจนทุกวันนี้”
(So these nations feared the Lord and also served their carved images. Their children did likewise, and their children’s children—as their fathers did, so they do to this day.)
ข้อมูลมีประโยชน์
17:1 “ในปีที่ 12 แห่งรัชกาลอาหัส” ( In the twelfth year of Ahaz) = 732 ก.ค.ศ. โดยถือว่า อาหัสร่วมสำเร็จราชกาลกับอาซาริยาห์ ในปี 744/743 (16:1-2)
“ครองอิสราเอลอยู่ 9 ปี” (reigned nine years) = 732-722 ก.ค.ศ.
17:3 “แชลมาเนเสอร์” (Shalmaneser) = กษัตริย์ของอัสซีเรีย = โฮเชยากษัตริย์อิสราเอลยอมเป็นเมืองขึ้นของแชลมาเนเสอร์
-โฮเชยาได้อำนาจมาจากการกบฏ และปลงพระชนม์กษัตริย์เปคาห์ (15:30) โดยยอมเป็นเมืองขึ้นต่อ
อัสซีเรียในรัชกาลทิกลัทปิเลเสอร์ที่ 3 และแชลมาเนเสอร์ที่ 5 สืบทอดบังลังก์แทนในปี 727-722 ก.ค.ศ.
17:5 “3 ปี” ( three years) -725-722 ก.ค.ศ. ในเวลานั้น สะมาเรียเป็นเมืองป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ยึดได้ยาก (1พกษ.16:24)
17:6 “ปีที่ 9 แห่งรัชกาลโฮเชยา” (the ninth year of Hoshea) = 722 ก.ค.ศ.
“พระราชาแห่งอัสซีเรียยึดกรุงสะมาเรียได้” (the king of Assyria captured Samaria ) = ในฤดูหนาว (ธ.ค.) ของปี 722-721
แชลมาเนเสอร์ที่ 5 เสียชีวิต (อาจถูกปลงพระชนม์) และบัลลังก์ถูกชิง โดยซาร์กอน ที่ 2 (721-705)
-จดหมายเหตุของซาร์กอน อ้างอิงถึงการยึดสะมาเรียว่า เกิดในสมัยของตน (แต่ก็เป็นเพียงการเก็บตก)
“กวาดต้อนคนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย” (carried the Israelites away to Assyria) = เพราะว่าอิสราเอลปฏิเสธที่จะเชื่อฟังทำตามเงื่อนไขของพันธสัญญา พระเจ้าจึงพิพากษาพวกเขาตามที่อาหิยาห์ประกาศไว้ในรัชกาลของเยโรโบอัมที่ 1 กษัตริย์องค์แรกของอาณาจักรเหนือ (1พกษ.14:15)
ในจดหมายเหตุของซาร์กอนที่ 2 อ้างว่า เขาต้อนคนอิสราเอล 27290 คน ออกไปจากนั้นเขาย้ายชนชาติอื่นเข้าไปอาศัยในเมืองร้างของอาณาจักรเหนือ (ข.24)
“ข้ามแม่น้ำฮาโบร์แห่งเมืองโกชาน” ( on the Habor, the river of Gozan ) = โกชานเป็นเมืองหลวงภูมิภาคของอัสซีเรียซึ่งตั้งอยู่บนสาขา(แม่น้ำฮาโบร์)ของแม่น้ำยูเฟรติส
“ในเมืองต่าง ๆ ของคนมีเดีย” (in the cities of the Medes) = เมืองที่ตั้งอยู่ตอนใต้ของทะเลแคสเบียน และทางตะวันออกเฉียงเหนือของแม่น้ำไทกรีส
17:7-23 = เพราะอิสราเอลไม่เชื่อฟังทำตามที่กำหนดไว้ในพันธสัญญา พระเจ้าจึงให้คำสาปที่โมเสสแจ้งไว้กับชนชาติอิสราเอลทราบตั้งแต่ก่อนพวกเขาเข้าคานาอันได้เกิดขึ้น (ฉธบ.28:49-68;32:1-47)
17:7 “ทรงนำพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์” (brought them up out of the land of Egypt ) = การกอบกู้จากอียิปต์เป็นการกอบกู้ที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของอิสราอล โดยพระคุณของพระเจ้า (อพย.20:2;ฉธบ.5:15;26:8;ยชว.24:5-7;17;วนฉ.10:11;1ซมอ.12:6;นหม.9:9-13;มคา.6:4)
“นมัสการพระอื่น ๆ” ( feared other gods) = ละเมิดพันธสัญญาของพระเจ้า –ข.35; ฉธบ.5:7;6:14;ยชว.24:14-16,20;ยรม.1:16;2:5-6;25:6;35:15
17:8 “ตามธรรมเนียมปฏิบัติของประชาชาติ” (walked in the customs of the nations ) –ฉธบ.18:9; วนฉ.2:12-13
“ตามกฎเกณฑ์ที่บรรดาพระราชาแห่งอิสราเอลทรงนำเข้ามา” (in the customs that the kings of Israel had practiced) –ดังในกรณี เยฮู (10:31) ; เยโรโบอัมที่ 2 (14:24), เยโรโบอัมที่ 1 (1พกษ.12:28-33), อมรี (16:25-26) , อาหับ (16:30-34)
17:9 “ปูชนียสถานสูงสำหรับตนทั่วบ้านทั่วเมือง” (built for themselves high places in all their towns) -14:4;15:4,35;16:4;1พกษ.3:2;15:14
17:10 “เสาศักดิ์สิทธิ์” (set up for themselves pillars) = หินศักดิ์สิทธิ์ –1พกษ.14:15,23
“เสาอาเชราห์” (Asherim) -1พกษ.14:15
“เนินเขาสูงทุกแห่ง และได้ต้นไม้เขียวสดทุกวัน” (every high hill and under every green tree)
-16:4;1พกษ.14:23;ยรม.2:20;3:6,13;17:2
17:11 “ทำสิ่งชั่ว” (did wicked things) = อาจหมายถึงโสเภณีในพิธีกรรมต่าง ๆ (1พกษ.14:24;ฮชย.4:13-14)
17:12 “เจ้าอย่าทำอย่างนี้” ( You shall not do this) –ลนต.26:30;อพย.23:13;ลนต.26:1;ฉธบ.5:6-10
17:13 “ทรงตักเตือนอิสราเอลและยูดาห์” ( the Lord warned Israel and Judah) = พระเจ้าตักเตือนพวกเขา
ผ่านทางผู้เผยพระวจนะและผู้ทำนาย แต่ประชาชนกลับไม่แยแส และเพิกเฉยในการละเมิดข้อกำหนดในพันธสัญญาที่พระเจ้าส่งมาให้พวกเขา (1พกษ.13:1-3;14:6-16;วนฉ.6:8-10;1ซมอ.3:19-21, ปท.1ซมอ.9:9)
17:14 “ดื้อดึง” (were stubborn) = แปลตามตัวก็คือ “คอแข็ง” เป็นภาพเปรียบเทียบกับวัวที่ไม่ยอมอยู่ใต้แอก (ฉธบ.10:16;ยรม.2:20;7:26;17:23;19:15;ฮชย.4:16)
17:15 “ติดตามสิ่งไร้ค่า” ( went after false idols) = ติดตามรูปเคารพ –ฉธบ.32:21;ยรม.2:5;8:19;10:8;
14:22;51:18
17:16 “ลูกวัวสองตัว” ( two calves) = รูปเคารพเป็นรูปวัวทองคำ 2 ตัวที่เบธเอลและดาน (1พกษ.12:28-30)
“บรรดาบริวารของฟ้าสวรรค์” (all the host of heaven) = ดวงดาวต่าง ๆ ในฟากฟ้า
= อิสราเอลถูกห้ามไม่ให้นมัสการดวงดาวเหมือนชนชาติเพื่อนบ้าน (ที่ไม่เชื่อพระเจ้า) –ฉธบ.4:19;17:3
-ผู้เผยพระวจนะอาโมสกล่าวเป็นนัยถึงการปฏิบัติเช่นนี้ในอาณาจักรเหนือในรัชกาลเยโรโบอัมที่ 2 (อมส.5:26)
-ต่อมาการปฏิบัติเช่นนี้ก็แพร่ลงสู่อาณาจักรใต้ ในรัชกาลมนัสเสห์ (21;3,5) และถูกขจัดไปในสมัยที่
โยสิยาห์ปฏิรูปศาสนา (23:4-5;12;อสค.8:16)
17:17 “ให้บุตรชายหญิงของเขาลุยไฟ” (burned their sons and their daughters) -16:3
“ทำนายโชคชะตาและทำเวทมนตร์” (used divination and omens) =ไสยศาสตร์และเวทมนตร์คาถาเป็นสิ่งที่ถูกห้ามไว้ในพันธสัญญาของโมเสส (16:15;ลนต.19:26;ฉธบ.18:10)
17:18 “ให้พวกเขาออกไปพ้นพระพักตร์” (removed them out of his sight) –16:15;ลนต.19:26;ฉธบ.18:10
= ถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรเหนือ (ข.6;23:27)
“นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น” (the tribe of Judah only) = อาณาจักรใต้ประกอบด้วยเผ่าสิเมโอน และเบนยามินบางส่วนด้วย แต่ยูดาห์เป็นเผ่าเดียวที่ยังอยู่ครบบริบูรณ์ (1พกษ.11:31-32;2พกษ.19:4)
17:20 “มอบเขาไว้ในมือของผู้ปล้น” (gave them into the hand of plunderers) -10:32-33;13:3,20:24:2; 2พศด.21:16;28:18;อมส.1:13
17:21 “ฉีกอิสราเอลจากราชวงศ์ของดาวิด” (had torn Israel from the house of David) –1พกษ.11:11, 31;12:24
-พระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้มีการแบ่งแยกอาณาจักรเพื่อเป็นการลงโทษชนชาตินี้เพราะบาปของพวกเขา“นำให้พวกเขาทำบาปอย่างใหญ่หลวง” (made them commit great sin) –1พกษ.12:26-32;13:33-34; ปฐก.20:9
17:23 “ตามที่ตรัสทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์” (he had spoken by all his servants the
prophets.) –1พกษ.14:15-16;ฮยช.10:1-7;11:5;อมส.5:27
17:24 “พระราชาแห่งอัสซีเรีย” ( king of Assyria) = ส่วนใหญ่แล้วเป็นซาร์กอน ที่ 2 (721-705 ก.ค.ศ) แม้ว่ากษัตริย์อัสซีเรียองค์หลัง ๆ รวมถึง เอสารฮัดโดน (681-669) และอาชูร์บานิปาล (669-627) จะโยกย้ายคนต่างชาติเข้ามาในสะมาเรียเพิ่มเติมอีก (อสร.4:2,9-10)
“คูธาห์” (Cuthah) = อยู่ห่างจากบาบิโลนขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ราว 13 กิโลเมตร ถูกบีบบังคับให้อยู่ใต้อำนาจของซาร์กอนที่ 2 ในปี 709 ก.ค.ศ.
“อัฟวา” (Avva) – น่าจะเป็นที่เดียวกับอิฟวาห์ (18:34;19:13) น่าจะอยู่ในอารัม (ซีเรีย)
“ฮามัท” (Hamath) = อยู่ริมแม่น้ำโอรอนเทส (14:25;18:34;อสค.47:15)
ในปี 720 ก.ค.ศ. ซาร์กอนที่ 2 ได้เปลี่ยนฮามัทเป็นภูมิภาคหนึ่งของอัสซีเรีย
“สะมาเรีย” (Samaria) = ในที่นี้หมายถึง อาณาจักรเหนือทั้งหมด (1พกษ.13:32)
17:25 “ไม่ได้ยำเกรงพระยาห์เวห์” (did not fear the Lord) = ไม่ได้นมัสการพระเจ้า พวกเขานมัสการ พระประจำชาติของพวกเขาเอง
“ทรงให้สิงโตมาท่ามกลางเขา” (sent lions among them) = สิงโตมีอยู่ในคานาอันมาตลอด
(1พกษ.13:24;20:36;วนฉ.14:5;1ซมอ.17:34;อมส.3:12)
-หลังจากเกิดความวุ่นวายปั่นป่วนและประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะขัดแย้งกับอัสซีเรีย สิงโตก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น (อพย.23:29)
-ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ และผู้เขียนพระธรรมตอนนี้มองว่า นี่เป็นการลงโทษจากพระเจ้า (ลนต.26:21-22)
17:26 “ไม่รู้ธรรมเนียมของพระของแผ่นดินนั้น” (not know the law of the god of the land) = เชื่อกันว่า พระประจำชาติแต่ละองค์ จะเรียกร้องพิธีกรรมพิเศษที่แตกต่างกันไป ซึ่งถ้าละเมิดหรือเพิกเฉยก็จะนำภัยพิบัติมาสู่ดินแดนนั้น
17:27 “นำคนหนึ่งในพวกปุโรหิต” (Send there one of the priests) =อาจเป็นระบบปุโรหิตที่เยโรโบอัมที่ 1 แต่งตั้งขึ้นในอาณาจักรเหนือ (1พกษ.12:31)
17:28 “มาอยู่ที่เบธเอล” (lived in Bethel ) = เบธเอลยังเป็นศูนย์กลางการนมัสการที่ละทิ้งพระเจ้าในอาณาจักรเหนือ ตั้งแต่สมัยเยโรโบอัมที่ 1 (1พกษ.12:28-30)
17:29 “ชาวสะมาเรีย” ( Samaritans) = คนเชื้อชาติผสมซึ่งอยู่ในเขตแดนเดิมของอาณาจักรเหนือ คนเชื้อชาติผสมนี้เป็นที่รู้จักกันในนามสะมาเรีย ภายหลังชาวสะมาเรียเลิกนมัสการรูปเคารพตามเชื้อชาติดั้งเดิม (ที่นับถือพระหลายองค์) แล้วหันมาปฏิบัติตามคำสอนของโมเสส (ซึ่งนับถือพระเจ้าองค์เดียว)
-พระเยซูเคยเป็นพยานกับหญิงชาวสะมาเรีย (ยน.4:4-26) และมีชาวสะมาเรียจำนวนมากกลับใจเมื่อฟิลิปมาประกาศ (กจ.8:4-25)
17:32 “ได้ตั้งปุโรหิต” ( sorts of people as priests) –1พกษ.12:31
17:33 “ยำเกรงพระยาห์เวห์ แต่ก็ปรนนิบัติบรรดาพระของเขาเองด้วย” (feared the Lord but also served their own gods ) = ศาสนาแบบผสม
17:34 “ทุกวันนี้” ( this day) = จวบจนถึงเวลาที่เขียนพระธรรม 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์
17:35 “อย่ายำเกรงพระอื่น ๆ” (not fear other gods) = อย่านมัสการพระอื่นใด แต่ให้นมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว (อพย.20:5;ฉธบ.5:9;ปท.มธ.22:38)
= ทำให้อิสราเอลแตกต่างจากชนชาติอื่น ๆ
17:36 “ผู้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์” (who brought you out of the land of Egypt) = การช่วยกู้จากอียิปต์ เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้เราควรมีใจกตัญญูภักดีต่อพระองค์ผู้เดียว
17:39 “ช่วยกู้เจ้าให้พ้นมือศัตรูทั้งสิ้นของเจ้า” ( will deliver you out of the hand of all your enemies)
–อพย.23:22;ฉธบ.20:1-4;23:14
คำถามนำอภิปราย
1. คุณเคยเห็นใคร (โดยเฉพาะผู้นำ) ทำชั่ว จนคุณรู้สึกรังเกียจบ้างไหม? เขาทำอะไร?
2. คุณเคยเห็นคนทำชั่วได้รับการลงโทษหรือผลร้ายกลับคืนสู่ตัวพวกเขาบ้างหรือไม่? อย่างไร?
3. คุณเองเคยได้รับผลเสียหรือการลงโทษจากพระเจ้าเพราะบาปบางอย่างในชีวิตของคุณเองบ้างหรือไม่? อย่างไร?
4. คุณเคยไม่ยอมฟังหรือดื้อดึงต่อพระเจ้าในเรื่องอะไรที่เป็นการทำตามแบบอย่างของคนอื่นหรือที่พระเจ้าห้ามไว้ชัดเจน? แล้วผลเป็นอย่างไร?
5. คุณเคยรู้สึกเหมือนถูกพระเจ้าทอดทิ้งบ้างหรือไม่? เมื่อไร? และอย่างไร?
6. คุณเคยเห็นพระเจ้าส่ง “คนของพระองค์” มาสอนทางของพระเจ้าให้แก่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างเหลือเชื่อบ้างหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)
7. คุณเคยพบกันชุมชนหรือกลุ่มคนที่ยึดถือขนบธรรมเนียมอย่างเหนียวแน่นและไม่ยอมต้อนรับพระเยซูคริสต์บ้าง
หรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร? คุณจะมีส่วนช่วยพวกเขาอย่างไรบ้าง?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์