“เราดำรงชีวิตอยู่ โดยสิ่งที่เราได้มา เราสร้างชีวิต โดยสิ่งที่ให้ออกไป”
(We make a Living by What We Get, But we make a Life by What We Give.) -Winston Churchill-
คนเราต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เราต้องกระเสือกกระสนหาอาหารเพื่อรับประทาน หาบ้านเรือนเพื่อพักอาศัย หาเงินทองเพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับปัจจัยอื่น ๆ ที่จำเป็นและต้องการ!
แต่การที่เราเพียงแค่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ คงไม่พอ
ดร. ริค วอเรน ได้ให้ข้อสังเกตว่า พระเยซูคริสต์ทรงเข้ามาในโลก
- เพื่อช่วยปลดแอกหนี้บาปในอดีตของเราที่ผ่านมา โดยการไถ่บาปเราผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนกางเขนแทนเรา
- เพื่อประทานวัตถุประสงค์ที่คู่ควรต่อการดำเนินชีวิตอยู่ของเราในโลกนี้ และ
- เพื่อเตรียมที่อยู่อาศัยอันถาวรให้แก่พวกเราทุกคนที่เชื่อและยอมรับพระองค์!
และวัตถุประสงค์หนึ่งที่ชัดเจนที่สุดในชีวิตของบรรดาผู้เชื่อพระคริสต์ทุกคนก็คือ การมอบความรอดให้แก่คนไทยทุกคน ผ่านการประกาศข่าวประเสริฐในทุกรูปแบบ!
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างที่สุดยอดแห่งการให้ พระองค์ทรงสละพระสิริสูงส่งและความมั่งคั่งบริบูรณ์ในสวรรค์เบื้องบนและเสด็จลงมาด้วยพระคุณ เพื่อรับสภาพต่ำต้อยยากจนอย่างมนุษย์ เพื่อช่วยให้เรารับความรอดและมั่งคั่งในฝ่ายจิตวิญญาณ
“เพราะว่าท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้วว่า แม้พระองค์ทรงมั่งคั่ง ก็ยัง ทรงยอมเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่ง เนื่องจากความยากจนของพระองค์” (2คร.8:9)
ดังนั้น ข่าวดีสำหรับเราในวันนี้คือ…
บัดนี้ เราทั้งหลายที่ยากจนต่ำต้อยด้านจิตวิญญาณในโลกนี้ ได้กลับกลายเป็นบุตรของพระเจ้าผู้มั่งคั่งในแผ่นดินสวรรค์แล้ว ผ่านทางความเชื่อ!
แต่ดูเหมือนว่า ความยากจนของพระคริสต์จะเป็นสภาวะชั่วคราว และทุกคนที่ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ในการให้จะไม่มีผู้ใดกลายเป็นคนยากจนขัดสนเลยสักคนเดียว!
เป็นจริงดังคำกล่าวของ Anne Frank ที่ว่า…
“ไม่มีใครกลายเป็นคนยากจนจากการให้!”
(No one has ever become poor from Giving.)
ตรงกันข้าม “การให้” เป็นวิถีที่นำเราให้หลุดพ้นและห่างไกลจากความยากจนอย่างถาวร!
Jim Rohn ก็กล่าวยืนยันไว้ว่า …
“มีแต่เพียงโดย “การให้” เท่านั้น ที่ทำให้คุณสามารถได้รับมากกว่าที่คุณมีอยู่แล้ว”
(Only by Giving are you able to receive More than you already have.)
ดังนั้น หากว่าคุณต้องการเพียงแค่หาเงิน หาของมาดำรงชีวิตอย่างไร้ความหมายหรือไร้คุณค่าหรือเอาแต่รับเท่านั้น ก็นับว่าเสียทีที่คุณเกิดมาจริง ๆ เพราะคุณมีชีวิตได้อยู่เพียงครั้งเดียว หากครั้งนี้คุณไม่ทำสิ่งใดที่มีคุณค่าตามพระประสงค์ของพระเจ้าและน่าจดจำไปตลอดนิรันดร์กาล ชีวิตเดียวของคุณนี้ก็ช่างไร้ประโยชน์ไปเปล่า ๆ !
แต่หากคุณเปลี่ยนมาเป็น “ผู้ให้” คุณจะกลายเป็นผู้สร้างทั้งชีวิตของคุณและชีวิตของผู้อื่น และคุณจะพบความมหัศจรรย์ของชีวิต เพราะว่า ยิ่งคุณให้ออกไปมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งมีหรือยิ่งได้รับกลับมามากยิ่งขึ้นไปอีก!
ดุจดังพระเยซูคริสต์ที่ทรงสละทุกสิ่งเพื่อมนุษย์ และผลที่พระองค์ทรงได้รับกลับมาสู่พระองค์นั้นยิ่งใหญ่กว่ากันมากมายจนเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย!
“จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้าไม่ทรงถือว่าความทัดเทียม กับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาสทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์ พระองค์ทรงถ่อมตัวลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด และประทานพระนามเหนือนามทั้งหมดแก่พระองค์ เพื่อที่ว่าเพราะพระนามของพระเยซูนั้น ทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก และใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงกราบพระองค์และเพื่อที่ว่าทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา” (ฟิลิปปี 2:5-11)
ดังนั้น วันนี้ ขอให้พวกเขามาพร้อมใจกันเป็น “ผู้ให้” ที่ยิ่งใหญ่ ดุจดังพระเยซูคริสต์!
…จะดีไหมครับ?
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-
twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer