“จงเมตตา!
เพราะว่าทุกๆ คนที่คุณพบ กำลังประสบกับสมรภูมิโหดในชีวิต!”
(Be kind, for everyone you meet is fighting a hard battle!)
คนเราทุกคนล้วนต้องการความเข้าใจ และความเมตตา!
แต่ปัญหาก็คือ บ่อยครั้งที่เราไม่เข้าใจผู้อื่น ทำให้เราขาดความเมตตาต่อเขา
เคยไหมที่คุณโกรธคนอื่น เพราะสิ่งที่เขาทำนั้นเราไม่เข้าใจหรือเรารับไม่ได้!
บ่อยครั้งไหมที่เราตอบสนองต่อสิ่งที่ขัดหู ขัดตา ขัดใจหรือขัดหลักการที่เรามี โดยแสดงบางอย่างออกมาใส่เขาอย่างปราศจากความเมตตา!
ความเย็นชา ว่าร้ายแล้ว แต่ร้ายกว่านั้นก็คือ การกล่าวจาบจ้วง กล่าววิพากษ์วิจารณ์ ตัดสินพิพากษาเขาอย่างไร้ความปราณี!
และที่น่าเจ็บปวดก็คือ คนที่เรากำลังระเบิดอารมณ์ใส่นั้น แท้จริงก็เป็นคนรู้จัก เป็นคนกันเอง หรือบางทีเป็นพี่น้องของเราเองด้วยซ้ำไป!
แต่ที่สุดร้ายก็คือ เราระเบิดอารมณ์และความโกรธเคืองออกมาด้วยการส่งต่อความไม่พอใจนั้นไปยังคนอื่น ๆ (ที่ไม่เกี่ยวข้อง) ทั้งต่อหน้าและลับหลัง!
แท้จริงแล้ว พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราพูดกันตรง ๆ แบบ 2 ต่อ 2
“หากพี่น้องของท่านคนหนึ่งทำผิดต่อท่าน จงไปหาและชี้ความผิดต่อเขาสองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องคืนมา” (มัทธิว 18:15)
แต่พระองค์ปรารถนาให้เราพูดจาต่อกันด้วยความจริงและความรัก!
“แต่ให้เรา(พูด)ยึดถือความจริงด้วยความรัก เพื่อจะเจริญขึ้นในทุกด้านสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์” (เอเฟซัส 4:15)
พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้เราส่งต่อความไม่พอใจ ความโกรธเกลียดการกล่าวร้ายหรือความสะใจของเราไปยังคนอื่น ๆ (ไม่ว่าจะเป็นใครที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้) เราเรียกการพูดในลักษณะดังกล่าวแบบลับหลังว่า “การซุบซิบนินทา”
“คนที่เที่ยวซุบซิบย่อมเผยความลับฉะนั้นอย่าเข้าสังคมกับคนปากบอน” (สุภาษิต 20:19)
พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรามีใจเมตตากรุณาต่อกันและให้อภัยกัน
“จงเอาความขมขื่น ความฉุนเฉียว ความโกรธ การทุ่มเถียง การพูดจาดูหมิ่น รวมทั้งการร้ายทุกอย่างออกไปจากพวกท่าน แต่จงมีใจกรุณา ใจสงสาร และใจให้อภัยแก่กันและกัน เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงให้อภัยพวกท่านในพระคริสต์” (เอเฟซัส 4:31-32)
ดังนั้น หากว่าตัวของเราไม่เย่อหยิ่งเกินไปจนหูอื้อตาลาย เราคงจะต้องยอมรับเช่นกันว่า เราอาจกำลังกระทำในบางสิ่งที่ตัวเราเองเกลียดนั้นเช่นกัน เราเองอาจไม่รู้ตัวว่า เรามักจะทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือไม่พอใจเหมือนกัน เพียงแต่ว่าหากตัวของเราเป็นผู้กระทำสิ่งนั้น เราเองมักยอมรับได้ แต่หากว่าคนอื่นเป็นผู้กระทำ เราจะยอมรับไม่ได้เลย !
แต่หากคนอื่นเป็นผู้กระทำ เราจะทนไม่ได้ และลุกขึ้นมาคัดค้านต่อต้านอย่างรุนแรง โดยปราศจากความเมตตาและการให้อภัย แต่หากเราเป็นผู้กระทำเรามักขอความเข้าใจ ความเมตตา และการให้อภัย!
พี่น้องที่รัก อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลยจะดีกว่า ฉะนั้น ก่อนที่เราจะแสดงความโกรธเคือง ไม่พอใจผู้หนึ่งผู้ใดจนเนื้อเต้น ขอให้เราหลับตา นึกวาดภาพว่า หากเราเป็นบุคคลนั้นที่กำลังทำสิ่งที่คนอื่น ๆ ไม่พอใจนั้นอยู่ และเราเองกำลังเผชิญกับเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ ในชีวิตที่แสนดราม่า มาอย่างเจ็บปวด (และดูเหมือนว่า คนอื่นไม่เข้าใจตัวของเราเลย) เราจะต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตัวของเราอย่างไร? …
พี่น้องที่รัก หากว่าเราเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นแล้ว ก็ขอให้เราปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยท่าทีที่เขาปรารถนาด้วยความเมตตา!
ดุจดังที่พระเยซูคริสต์ตรัสสอนเราว่า…
“จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่พวกท่านต้องการให้พวกเขาปฏิบัติต่อท่าน เพราะนี่คือธรรมบัญญัติและคำสั่งสอนของบรรดาผู้เผยพระวจนะ” (มัทธิว 7:12)
ดังนั้น วันนี้ให้เรามาให้อภัยและมีใจเมตตาต่อกันให้มากขึ้น
…จะดีไหมครับ?
ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer