4 อัศจรรย์!
พระธรรม 2พงศ์กษัตริย์ 4:1-44
อ้างอิง 1พกษ.12:22;17:12,20-21,18:20,46;2พกษ.2:1;4:21.32;8:1,5
บทนำ พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ทรงมีธรรมชาติแตกต่างจากธรรมชาติของมนุษย์ การกระทำสิ่งที่เกินกว่ามนุษย์ปกติจะกระทำได้ เราเรียกว่าการอัศจรรย์ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว สิ่งที่เรียกว่าการอัศจรรย์ของมนุษย์นั้น แท้จริงเป็นเรื่องธรรมดาของพระองค์ทั้งสิ้น!
บทเรียน
4:1 “ภรรยาของคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะร้องทุกข์ต่อเอลีชาว่า “ผู้รับใช้ของท่าน คือสามีของดิฉันเสียชีวิตแล้วและท่านทราบอยู่แล้วว่าผู้รับใช้ของท่านเกรงกลัวพระยาห์เวห์ แต่เจ้าหนี้ได้มาเพื่อจะเอาลูกสองคนของดิฉันไปเป็นทาสของเขา”
(Now the wife of one of the sons of the prophets cried to Elisha, “Your servant my husband is dead, and you know that your servant feared the Lord, but the creditor has come to take my two children to be his slaves.” )
4:2 “แล้วเอลีชาตอบนางว่า “บอกเราซิว่า จะให้เราทำอะไร? เธอมีอะไรอยู่ในบ้านบ้าง?” นางตอบว่า “สาวใช้ของ ท่านไม่มีอะไรในบ้าน นอกจากน้ำมันขวดหนึ่ง”
(And Elisha said to her, “What shall I do for you? Tell me; what have you in the house?” And she said, “Your servant has nothing in the house except a jar of oil.” )
4:3 “แล้วท่านกล่าวว่า “เธอจงออกไปนอกบ้าน ขอยืมภาชนะเปล่าจากเพื่อนบ้านทุกคน อย่าเอามาน้อย”
(Then he said, “Go outside, borrow vessels from all your neighbors, empty vessels and not too few.)
4:4 “แล้วจงเข้าบ้าน ปิดประตูขังตัวเองและลูกชายไว้ แล้วเทน้ำมันใส่ภาชนะเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อใบหนึ่งๆ เต็มแล้วก็ตั้งไว้ต่างหาก”
(Then go in and shut the door behind yourself and your sons and pour into all these vessels. And when one is full, set it aside.” )
4:5 “นางก็ไปจากท่าน และปิดประตูขังตัวเองกับบุตรของนางไว้ บุตรส่งภาชนะให้นาง และนางก็เทน้ำมัน”
(So she went from him and shut the door behind herself and her sons. And as she poured they brought the vessels to her. )
4:6 “เมื่อภาชนะเต็มหมดแล้วนางจึงบอกบุตรว่า “เอาภาชนะอีกใบหนึ่งมาให้แม่” แต่เขาตอบนางว่า “ไม่มีแล้ว” แล้วน้ำมันก็หยุดไหล”
(When the vessels were full, she said to her son, “Bring me another vessel.” And he said to her, “There is not another.” Then the oil stopped flowing. )
4:7 “นางก็ไปเรียนให้คนของพระเจ้าทราบ และท่านบอกว่า “จงไปขายน้ำมัน แล้วเอาเงินชำระหนี้ของเธอ ส่วนที่เหลือนั้น เธอกับลูกๆ จงใช้เลี้ยงชีวิต”
(She came and told the man of God, and he said, “Go, sell the oil and pay your debts, and you and your sons can live on the rest.”)
4:8 “วันหนึ่งเอลีชาผ่านไปยังเมืองชูเนม ที่ซึ่งหญิงมั่งมีคนหนึ่งอาศัยอยู่ และนางได้ชวนท่านรับประทานอาหาร ฉะนั้นเมื่อ ท่านผ่านไปทางนั้นเมื่อไร ท่านก็แวะเข้าไปรับประทานอาหารที่นั่น”
(One day Elisha went on to Shunem, where a wealthy woman lived, who urged him to eat some food. So whenever he passed that way, he would turn in there to eat food. )
4:9 “และนางบอกสามีของนางว่า “ดูสิ ดิฉันเห็นว่าชายคนนี้ที่เดินผ่านบ้านเราบ่อยๆ นั้นเป็นคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า”
(And she said to her husband, “Behold now, I know that this is a holy man of God who is continually passing our way. )
4:10 “ขอให้เราทำห้องเล็กไว้บนดาดฟ้าสำหรับท่าน วางเตียงนอน โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้ให้ท่าน เพื่อว่าเมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น”
(Let us make a small room on the roof with walls and put there for him a bed, a table, a chair, and a lamp, so that whenever he comes to us, he can go in there.”)
4:11 “วันหนึ่งท่านมาที่นั่น แวะขึ้นไปห้องนั้น และนอนอยู่ที่นั่น”
(One day he came there, and he turned into the chamber and rested there. )
4:12 “ท่านจึงบอกเกหะซีคนใช้ของท่านว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมคนนี้มา” เมื่อเขาเรียกนาง นางก็มายืนอยู่ต่อหน้าท่าน”
(And he said to Gehazi his servant, “Call this Shunammite.” When he had called her, she stood before him. )
4:13 “ท่านจึงบอกแก่เกหะซีว่า “จงบอกนางว่า ดูซิ เธอลำบากมากมายอย่างนี้เพื่อเรา จะให้เราทำอะไรเพื่อเธอบ้าง? มี อะไรจะให้ทูลพระราชาเพื่อเธอหรือไม่? หรือจะให้พูดอะไรกับผู้บัญชาการกองทัพ?”นางตอบว่า“ดิฉันอยู่ในหมู่พี่น้อง
ของดิฉันค่ะ”
(And he said to him, “Say now to her, ‘See, you have taken all this trouble for us; what is to be done for you? Would you have a word spoken on your behalf to the king or to the commander of the army?’” She answered, “I dwell among my own people.” )
4:14 “และท่านกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำอะไรเพื่อนาง?” เกหะซีตอบว่า “แท้จริงนางไม่มีบุตรชายและสามีของนางก็ แก่แล้ว”
(And he said, “What then is to be done for her?” Gehazi answered, “Well, she has no son, and her husband is old.” )
4:15 “ท่านจึงบอกว่า “ไปเรียกนางมา” และเมื่อเขาไปเรียกนาง นางก็มายืนอยู่ที่ประตู”
(He said, “Call her.” And when he had called her, she stood in the doorway. )
4:16 “ท่านกล่าวว่า “เมื่อถึงเวลานี้ในปีหน้า เธอจะได้อุ้มบุตรชายคนหนึ่ง” และนางตอบว่า “คนของพระเจ้า เจ้านายของดิฉัน อย่าหลอกสาวใช้ของท่านเลย”
(And he said, “At this season, about this time next year, you shall embrace a son.” And she said, “No, my lord, O man of God; do not lie to your servant.” )
4:17 “แต่หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นในปีต่อมาตามที่เอลีชาบอกนาง”
(But the woman conceived, and she bore a son about that time the following spring, as Elisha had said to her.)
4:18 “เมื่อเด็กนั้นโตขึ้น วันหนึ่งเขาออกไปหาบิดาของเขาในหมู่คนเกี่ยวข้าว”
(When the child had grown, he went out one day to his father among the reapers. )
4:19 “เขาบอกบิดาว่า “โอย หัวของฉัน หัวของฉัน” บิดาจึงสั่งคนใช้ว่า “อุ้มเขาไปหาแม่”
(And he said to his father, “Oh, my head, my head!” The father said to his servant, “Carry him to his mother.” )
4:20 “เมื่อคนใช้อุ้มเขามาให้มารดา เด็กนั้นก็นั่งอยู่บนตักมารดาจนเที่ยงวัน แล้วก็สิ้นชีวิต”
(And when he had lifted him and brought him to his mother, the child sat on her lap till noon, and then he died.)
4:21 “นางจึงอุ้มเขาขึ้นไปวางไว้บนที่นอนของคนของพระเจ้า และปิดประตูเสีย แล้วไปข้างนอก”
(And she went up and laid him on the bed of the man of God and shut the door behind him and went out. )
4:22 “นางก็ไปเรียกสามีของนางกล่าวว่า “ขอส่งคนใช้คนหนึ่งกับลาตัวหนึ่งมาให้ฉัน เพื่อฉันจะรีบไปหาคนของพระเจ้า และกลับมาอีก”
(Then she called to her husband and said, “Send me one of the servants and one of the donkeys, that I may quickly go to the man of God and come back again.”)
4:23 “และเขาถามว่า “วันนี้จะไปหาท่านทำไม? มันไม่ใช่วันต้นเดือนหรือวันสะบาโต” นางตอบว่า “ไม่เป็นไร”
(And he said, “Why will you go to him today? It is neither new moon nor Sabbath.” She said, “All is well.”)
4:24 “แล้วนางผูกอานลาและสั่งคนใช้ว่า “จงเร่งลาไปเร็วๆ อย่าชะลอฝีเท้า นอกจากฉันสั่ง”
(Then she saddled the donkey, and she said to her servant, “Urge the animal on; do not slacken the pace for me unless I tell you.”)
4:25 “แล้วนางก็ออกเดินทาง และมาถึงคนของพระเจ้าที่ภูเขาคารเมล เมื่อคนของพระเจ้าเห็นนางมา ท่านก็พูดกับเกหะซีคนใช้ของท่านว่า “ดูแน่ะ หญิงชาวชูเนมมาข้างโน้น”
(So she set out and came to the man of God at Mount Carmel.)When the man of God saw her coming, he said to Gehazi his servant, “Look, there is the Shunammite. )
4:26 “จงรีบไปรับนาง และถามนางว่า ‘เธอสบายดีหรือ? สามีของเธอสบายดีหรือ? เด็กสบายดีหรือ?’ ” นางตอบว่า “สบายดีค่ะ”
(Run at once to meet her and say to her, ‘Is all well with you? Is all well with your husband? Is all well with the child?’” And she answered, “All is well.” )
4:27 “เมื่อนางมาพบคนของพระเจ้าที่ภูเขาแล้ว นางก็เข้าไปกอดเท้าของท่าน เกหะซีจึงเข้ามาจะจับนางออกไป แต่คนของพระเจ้ากล่าวว่า “ปล่อยนางเถอะ เพราะนางมีความระทมขมขื่น และพระยาห์เวห์ทรงปิดเรื่องนี้ไว้จากเรา ไม่ทรงแจ้ง
ให้เราทราบ”
(And when she came to the mountain to the man of God, she caught hold of his feet. And Gehazi came to push her away. But the man of God said, “Leave her alone, for she is in bitter distress, and the Lord has hidden it from me and has not told me.” )
4:28 “แล้วนางจึงเรียนว่า “ดิฉันขอลูกจากเจ้านายของดิฉันหรือ? ดิฉันไม่ได้เรียนหรือว่า อย่าหลอกดิฉันเลย?”
(Then she said, “Did I ask my lord for a son? Did I not say, ‘Do not deceive me?’” )
4:29 “ท่านจึงสั่งเกหะซีว่า “คาดเอวของเจ้า แล้วถือไม้เท้าของเราไว้ในมือของเจ้า และไปเถอะ ถ้าเจ้าพบใคร อย่าทักทายเขา และถ้าใครทักทายเจ้า ก็อย่าตอบ และจงวางไม้เท้าของเราบนหน้าของเด็กนั้น”
(He said to Gehazi, “Tie up your garment and take my staff in your hand and go. If you meet anyone, do not greet him, and if anyone greets you, do not reply. And lay my staff on the face of the child.” )
4:30 “แล้วมารดาของเด็กนั้นเรียนว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่และตัวท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉัน ใด ดิฉันจะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” ดังนั้นท่านจึงลุกขึ้นตามนางไป”
(Then the mother of the child said, “As the Lord lives and as you yourself live, I will not leave you.” So he arose and followed her. )
4:31 “เกหะซี ได้ล่วงหน้าไปก่อน และวางไม้เท้าบนหน้าของเด็กนั้น แต่ไม่มีเสียงหรืออาการบ่งบอกว่ามีชีวิต เขาจึงลับมาพบท่านและเรียนท่านว่า “เด็กนั้นยังไม่ตื่น”
(Gehazi went on ahead and laid the staff on the face of the child, but there was no sound or sign of life. Therefore he returned to meet him and told him, “The child has not awakened.”)
4:32 “เมื่อเอลีชาเข้าบ้าน ท่านเห็นเด็กนอนตายอยู่บนที่นอนของท่าน”
(When Elisha came into the house, he saw the child lying dead on his bed. )
4:33 “ท่านจึงเข้าไปข้างใน แล้วปิดประตูอยู่กับเด็กนั้นสองต่อสอง และได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์”
(So he went in and shut the door behind the two of them and prayed to the Lord. )
4:34 “แล้วท่านขึ้นไปนอนทับเด็ก ให้ปากทับปาก ตาทับตา และมือทับมือ เมื่อท่านเหยียดตัวของท่านบนเขา เนื้อตัวของเด็กนั้นก็อุ่นขึ้นมา”
(Then he went up and lay on the child, putting his mouth on his mouth, his eyes on his eyes, and his hands on his hands. And as he stretched himself upon him, the flesh of the child became warm. )
4:35 “ท่านก็เดินไปมาในบ้านครั้งหนึ่ง แล้วขึ้นไปเหยียดตัวของท่านบนเขาอีก เด็กนั้นก็จาม 7 ครั้ง และเด็กนั้นก็ลืมตาของตน”
(Then he got up again and walked once back and forth in the house, and went up and stretched himself upon him. The child sneezed seven times, and the child opened his eyes. )
4:36 “แล้วท่านก็เรียกเกหะซีมาสั่งว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมคนนี้มา” เขาจึงไปเรียกนาง และเมื่อนางมาถึงท่านแล้ว ท่านกล่าวว่า “จงอุ้มลูกของเธอขึ้นเถิด”
(Then he summoned Gehazi and said, “Call this Shunammite.” So he called her. And when she came to him, he said, “Pick up your son.” )
4:37 “นางจึงเข้ามาทรุดตัวลงที่เท้าของท่านกราบลงถึงดิน แล้วนางก็อุ้มบุตรของนางขึ้นและออกไปข้างนอก”
(She came and fell at his feet, bowing to the ground. Then she picked up her son and went out.)
4:38 “เมื่อเอลีชากลับมาที่กิลกาล แผ่นดินเกิดกันดารอาหาร และเมื่อพวกผู้เผยพระวจนะนั่งอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านก็บอกคนใช้ของท่านว่า “จงตั้งหม้อใบใหญ่และต้มอาหารให้พวกผู้เผยพระวจนะ”
(And Elisha came again to Gilgal when there was a famine in the land. And as the sons of the prophets were sitting before him, he said to his servant, “Set on the large pot, and boil stew for the sons of the prophets.” )
4:39 “คนหนึ่งออกไปเก็บผักที่ทุ่งนา และพบไม้เถาป่าเถาหนึ่ง เขาเด็ดน้ำเต้าป่าจากเถานั้นจนเต็มตัก กลับมาหั่นใส่ในหม้อต้มอาหารโดยไม่ทราบว่าเป็นผลอะไร”
( One of them went out into the field to gather herbs, and found a wild vine and gathered from it his lap full of wild gourds, and came and cut them up into the pot of stew, not knowing what they were.)
4:40 “แล้วพวกเขาตักออกให้คนเหล่านั้นกิน ขณะกำลังกินอาหารอยู่นั้น เขาร้องขึ้นว่า “โอ คนของพระเจ้า มีความตายอยู่ในหม้อนั้น” และเขาก็กินกันต่อไปไม่ได้”
(And they poured out some for the men to eat. But while they were eating of the stew, they cried out, “O man of God, there is death in the pot!” And they could not eat it. )
4:41 “แต่ท่านสั่งว่า “จงเอาแป้งมา” แล้วท่านก็ใส่แป้งลงในหม้อ และบอกว่า “จงตักออกให้คนเหล่านั้นกิน” และไม่มีอันตรายอยู่ในหม้อนั้น”
(He said, “Then bring flour.” And he threw it into the pot and said, “Pour some out for the men, that they may eat.” And there was no harm in the pot.)
4:42 “มีชายคนหนึ่งมาจากบาอัลชาลิชาห์ เขานำของมาให้คนของพระเจ้ามีขนมปังเป็นพืชผลแรกคือ ขนมบาร์เลย์ 20 ก้อน และรวงข้าวใหม่ใส่กระสอบของเขามา และเอลีชากล่าวว่า “จงให้คนเหล่านั้นกิน”
(A man came from Baal-shalishah, bringing the man of God bread of the firstfruits, twenty loaves of barley and fresh ears of grain in his sack. And Elisha said, “Give to the men, that they may eat” )
4:43 “แต่คนใช้ของท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าจะตั้งอาหารเพียงเท่านี้ให้คน 100 คนกินกันได้อย่างไร?” ท่านจึงสั่งซ้ำว่า “จงให้คนเหล่านั้นกินเถิด เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เขาทั้งหลายจะกินและยังเหลืออีก’ ”
(But his servant said, “How can I set this before a hundred men?” So he repeated, “Give them to the men, that they may eat, for thus says the Lord, ‘They shall eat and have some left.’” )
4:44 “เขาจึงตั้งอาหารไว้ต่อหน้าเขาทั้งหลาย พวกเขาได้กิน และยังเหลืออยู่จริงตามพระวจนะของพระยาห์เวห์”
(So he set it before them. And they ate and had some left, according to the word of the Lord.)
ข้อมูลมีประโยชน์
4:1 “ผู้เผยพระวจนะ” (the prophets) –2:3;1พกษ.20:35
“เอาลูกสองคนของดิฉันไปเป็นทาส” (take my two children to be his slaves) = การเป็นทาสแรงงานเพื่อชดใช้หนี้เป็นสิ่งที่ได้รับอนุญาตในกฎหมายของโมเสส (อพย.21:1-2;ลนต.25:39-41;ฉธบ.15:1-11) แต่มักถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด (นหม.5:5,8;อมส.2:6;8:6) แม้ว่ากฎหมายจะจำกัดระยะเวลาการเป็นทาสและให้ปฏิบัติต่อทาสนี้เหมือนคนงานที่ได้รับค่าจ้างด้วย
4:4 “ปิดประตู” (shut the door) = การสำแดงพระเมตตากรุณาของพระเจ้าต่อหญิงม่ายนี้เป็นการส่วนตัว (สดด.68:5)
4:5 “นางก็ไปจากท่าน และปิดประตูขังตัวเอง…” (So she went from him and shut the door behind herself …)
= หญิงม่ายผู้นี้ไม่รีรอที่จะตอบสนองต่อคำสั่งของผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ และการเชื่อฟัง
4:8 “ชูเนม” (Shunem ) –1พกษ.13
4:9 “คนบริสุทธิ์ของพระเจ้า” (a holy man of God) = หญิงมั่งมีคนนี้ตระหนักว่า เอลีชาเป็นคนที่พระเจ้าแยกไว้เพื่อทำราชกิจพิเศษของพระเจ้า (อพย.3:5) น่าสนใจที่ไม่มีการใช้คำว่า “บริสุทธิ์” กับผู้เผยพระจนะในกรณีอื่น ๆ
4:10 “เมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น” (so that whenever he comes to us, he can go in there.) = หญิงมั่งมีผู้นี้แสดงความเอื้อเฟื้อและช่วยสนับสนุนในการประกาศพระวจนะของพระเจ้าให้ดำเนินต่อไปผ่านทางเอลีชา
4:12 “เกหะซี” (Gehazi) = ผู้รับใช้ของเอลีชา หรือเป็นผู้ที่ติดตามเอลีชาเหมือนที่เอลีชาติดตามเอลียาห์ เพียงแต่ลักษณะนิสัยของทั้ง 2 แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง (5:19-27;6:15) ,นี่เป็นครั้งแรกที่เอ่ยถึงชื่อเกหะซีนี้
4:13 “ดิฉันอยู่ในหมู่พี่น้องของดิฉันค่ะ” (I dwell among my own people.) = หญิงชูเนมผู้มั่งมีนี้ไม่ขาดสิ่งใดเลย เธอรู้สึกมั่นคง และพอใจในครอบครัวและชุมชนของเธอ เธอไม่มีความจำเป็นหรือความปรารถนาที่ต้องการขอความช่วยเหลือใดๆ จากเจ้าหน้าที่ระดับสูง
4:14 “แท้จริงนางไม่มีบุตรชายและสามีของเธอก็แก่แล้ว” (Well, she has no son, and her husband is old.) = ความผิดหวังอย่างมากของเธอที่ไม่มีผู้สืบสกุลและทรัพย์สินที่ดินสิ่งของต่าง ๆ จะตกไปเป็นของผู้อื่นหมด และเธออาจยังอายุไม่มากจึงเป็นการเสี่ยงที่เธอจะตกเป็นม่ายนานหลายปี โดยไม่มีใครดูแลหรือปกป้อง เพราะสำหรับแม่ม่ายนั้นต้องมีบุตรหลาน(ผู้ชาย) เป็นที่พึ่งได้ในยามแก่เฒ่า (8:1-6;1พกษ.17:22)
4:16 “เมื่อถึงเวลานี้ในปีหน้า…”( about this time next year) –ปฐก.17:21;18:14
“เจ้านายของดิฉัน อย่าหลอกลวงสาวใช้ของท่านเลย” (No, my lord, O man of God; do not lie to your servant) =แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าของเธอที่ต้องการมีบุตรชายและกลัวความผิดหวัง
4:17 “…ตามที่เอลีชาบอกนาง” (as Elisha had said to her.) = คำพูดของเอลีชาได้รับการยืนยันว่าเชื่อถือได้ และการที่เธอให้กำเนิดบุตรชายก็เป็นผลมาจากการที่พระเจ้าทรงแทรกแซงเพื่อเธอโดยเฉพาะ
4:20 “…แล้วก็สิ้นชีวิต” (then he died.) = เด็กชายที่ถือว่าเป็นหลักฐานแห่งพระคุณของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์กลับถูกพรากจากไปจากหญิงชาวชูเนมผู้นี้ นับเป็นการทดสอบความเชื่อที่หนักหน่วง
4:21 “นางจึงอุ้มเขาขึ้นไปวางไว้บนที่นอนของคนของพระเจ้า” (she went up and laid him on the bed of the man of God) = ปฏิกิริยาของเธอต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่มั่นคงของเธอที่มีต่อพระเจ้า
(และคนของพระเจ้า) ในท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูเลวร้าย และในเวลานี้เธอยังไม่ต้องการให้คนอื่น ๆ ในบ้านรู้ว่าเด็กตาย เธอต้องการให้พระเจ้ารักษาเด็กให้มีชีวิตอีกครั้ง
4:23 “วันนี้จะไปหาท่านทำไม?” (Why will you go to him today?) =แสดงว่ามีการพบปะกันกับผู้เผยพระวจนะเอลีชาอยู่แล้ว การไปหาเอลีชาจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่ครั้งนี้จังหวะเวลาที่จะไปต่างหากที่ไม่ปกติ
4:26 “สบายดีค่ะ” (All is well. ) =เธอตั้งใจไม่บอกใครถึงความทุกข์ร้อนในใจของเธอ นอกจากผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า
4:28 “ดิฉันไม่ได้เรียนหรือว่า อย่าหลอกดิฉันเลย” (Did I not say, ‘Do not deceive me?) = เคยบอกเอลีชาแล้วว่าอย่าให้ความหวังแก่เธอเลย เธอกำลังปล้ำสู้กับคำถามว่า เหตุใดพระเจ้าจึงพรากเอาสิ่งที่เธอได้รับมาด้วยพระคุณของพระองค์ไปจากเธอ และนำเอาความน่าเชื่อถือในพระวจนะของพระเจ้ากลับคืนไป
4:29 “จงวางไม้เท้าของเราบนหน้าของเด็กนั้น” (lay my staff on the face of the child.) =เอลีชาคาดหวังให้พระเจ้าจะคืนชีวิตให้แก่เด็กนั้นเมื่อนำไม้เท้าไปวาง แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม้เท่านั้นวิเศษ มีอำนาจ
เวทมนตร์ แต่เขาถือว่า เป็นตัวแทนของตัวเอลีชาและเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของพระเจ้า (2:8;อพย.14:16;กจ.19:12)
4:30 “ดิฉันจะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” (I will not leave you. I will not leave you.) = หญิงชาวชูเนมไม่เชื่อว่าจะสำเร็จในมือของเกหะซีจึงยืนกรานให้เอลีชาไปกับเธอ
4:33 “ปิดประตูอยู่กับเด็กนั้นสองต่อสอง และได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์” (shut the door behind the two of them and prayed to the Lord) = เอลีชากำลังทำแบบเดียวกับที่เอลียาห์ทำเมื่อหลายปีก่อน
(1พกษ.17:20-22)
-เอลีชาอธิษฐานต่อพระเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อขอให้เด็กฟื้นชีวิต เป็นการยืนยันว่า สิ่งที่เขาทำหลังจากนั้นไม่ได้อาศัยเวทนมตร์อะไร นอกจากพึ่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
4:34 “เหยียดตัวของท่านบนเขาอีก”( as he stretched himself upon him) –1พกษ.17:21, เอลีชาอาจคุ้นเคยกับวิธีที่เอลียาห์กระทำก่อนหน้านี้
4:37 “ทรุดตัวลงที่เท้าของท่านกราบลงถึงดิน” (she picked up her son and went out. ) = หญิงชูเนมนี้รับรู้ด้วยความซาบซึ้งใจว่าพระเจ้าโปรดปรานเธอเป็นพิเศษ เพราะเอลีชา แม้เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่อวัจนภาษาของเธอก็สื่อออกมาแล้วอย่างชัดเจนสอดคล้องกับคำพูดของแม่ม่ายที่ศารฟัท (1พกษ.17:24)
4:38 “กิลกาล” (Gilgal) –2:1
“แผ่นดินเกิดกันดารอาหาร” (there was a famine in the land) =อาจเป็นการกันดารอาหารครั้งเดียวกับที่กล่าวใน 8:1 ซึ่งเป็นคำสาปแช่งตามพันธสัญญา (ลนต.26:19-20,26;ฉธบ.28:18,23-24,1พกษ.8:36-37)
= เป็นหลักฐานว่า พระเจ้าทรงพระพิโรธต่อประชาชนของพระเจ้าที่ไม่เชื่อฟังเงื่อนไขของพันธสัญญา
4:41 “แป้ง” ( flour) = ตัวแป้งไม่ได้ทำให้พิษหายไป (2:21) แต่เป็นเพียงวิธีการที่พระเจ้าใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญา –ในขณะที่คนอื่น ๆ ต้องทนทุกข์ตามคำสาปของพันธสัญญา
4:42 “รวงข้าวใหม่” (fresh ears of grain) =แทนที่จะนำผลแรกจากการเก็บเกี่ยว (ลนต.2:14;23:15-17; ฉธบ.18:3-5) ไปให้นักบวชต่างศาสนาที่เบธเอลและดาน (1พกษ.12:28-31) -ประชาชนที่เคารพศรัทธาในพระเจ้าในอิสราเอลอาจนำเครื่องถวายบูชาเหล่านี้ไปให้เอลีชา และผู้เกี่ยวข้องใช้ยังชีพ (ข.23)
-พวกเขาอาจจะพึ่งพาเอลีชามากกว่ากษัตริย์และนักบวชที่ละทิ้งพระเจ้าในฐานะที่เอลีชาเป็นตัวแทนที่แท้จริงของพระเจ้าตามพันธสัญญา
4:43 “ท่านจึงสั่งซ้ำว่า” (So he repeated) = ขนมปังเพิ่มทวีคูณขึ้นตามพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางเอลีชา โดยปราศจากสื่อกลางอื่น ๆ (ข.41;2:20;มก.6:34-43)
คำถามนำอภิปราย
- คุณเคยประสบเคราะห์กรรมใดในชีวิตที่ทำให้คุณเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสบ้างหรือไม่? ในเรื่องใด? อย่างไร?
- พระเจ้าทรงช่วยคุณในสถานการณ์ดังกล่าวผ่านใคร? อย่างไรบ้าง?
- คุณเคยแสดงความเมตตา “คนของพระเจ้า” บ้างหรือไม่? กับใคร? ในเรื่องอะไรบ้าง?
- คุณเคยมีประสบการณ์กับการ “ช่วยเหลือ” อย่างอัศจรรย์จากพระเจ้าหรือไม่? และอย่างไรบ้าง? แบ่งปัน
- คุณเคยสิ้นหวังในกรณีใดบ้าง? และพระเจ้ากลับช่วยกู้ให้คุณรอดพ้นจากสภาพนั้นมาได้อย่างไร?
- คุณเคยมีประสบการณ์กับการเลี้ยงดูของพระเจ้าในชีวิตของคุณที่เกินความคาดคิดอย่างไรบ้าง?
- คุณเคยมีประสบการณ์กับ “ความจริง” จากพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องอะไรที่ประทับใจของคุณมากที่สุด? ทำไม?
- คุณได้รับบทเรียนอะไรเป็นพิเศษจากพระธรรมในตอนนี้
ศจ.ธงชัย ประดับชานุรัตน์