เสียงเพลงในหุบเขา
พระธรรม 2พงศ์กษัตริย์ 3:1-27
อ้างอิง 1พกษ.12:28-32;15:26;16:30-32;19:16;22:4-5,47;2พกษ.1:1,17;16:3;20:10;21:6
บทนำ เราจะทำอะไรควรปรึกษาพระเจ้าก่อนที่จะลงมือทำไปแล้วเกิดปัญหาค่อยมาขอคำปรึกษาจากพระเจ้า เช่นเดียวกัน อย่าให้เราสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้คนมากมายต้องเดือดร้อนไปกับเรา
บทเรียน
3:1 “โยรัม พระราชโอรสของอาหับทรงครองอิสราเอลในกรุงสะมาเรีย ในปีที่ 18 ของรัชกาลเยโฮชาฟัทพระราชา แห่งยูดาห์ และทรงครองราชย์อยู่ 12 ปี”
(In the eighteenth year of Jehoshaphat king of Judah, Jehoram the son of Ahab became king over Israel in Samaria, and he reigned twelve years. )
3:2 “โยรัม ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ไม่ทรงเหมือนพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ พระองค์ทรงรื้อเสาศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัล ซึ่งพระราชบิดาของพระองค์ทรงทำไว้”
(He did what was evil in the sight of the Lord, though not like his father and mother, for he put away the pillar of Baal that his father had made. )
3:3 “แม้กระนั้น พระองค์ยังทรงเกาะติดอยู่กับบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตร เนบัท ผู้ได้นำให้อิสราเอลทำบาปด้วย โยรัมไม่ได้ทรงหันจากบาปนั้น”
(Nevertheless, he clung to the sin of Jeroboam the son of Nebat, which he made Israel to sin; he did not depart from it.)
3:4 “เมชาพระราชาแห่งโมอับทรงเป็นผู้เพาะพันธุ์แกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะ 100,000 ตัว และขนแกะผู้ 100,000 ตัวแก่พระราชาอิสราเอล”
(Now Mesha king of Moab was a sheep breeder, and he had to deliver to the king of Israel 100,000 lambs and the wool of 100,000 rams. )
3:5 “ต่อมาเมื่ออาหับสิ้นพระชนม์แล้ว พระราชาแห่งโมอับก็กบฏต่อพระราชาแห่งอิสราเอล”
(But when Ahab died, the king of Moab rebelled against the king of Israel. )
3:6 “กษัตริย์โยรัมจึงทรงออกจากกรุงสะมาเรียในครั้งนั้น และทรงระดมพลคนอิสราเอลทั้งสิ้น”
(So King Jehoram marched out of Samaria at that time and mustered all Israel. )
3:7 “พระองค์ทรงส่งสารไปยังเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์ว่า “พระราชาแห่งโมอับได้กบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะไปรบกับโมอับพร้อมกับข้าพเจ้าหรือไม่?” และพระองค์ตรัสตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไป ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนที่ท่านเป็น และประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนประชาชนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนม้าของท่าน”
(And he went and sent word to Jehoshaphat king of Judah, “The king of Moab has rebelled against me. Will you go with me to battle against Moab?” And he said, “I will go. I am as you are,
my people as your people, my horses as your horses.” )
3:8 “แล้วตรัสต่อไปว่า “พวกเราจะยกขึ้นไปทางไหน?” โยรัมตรัสตอบว่า “ไปทางถิ่นทุรกันดารเอโดม”
(Then he said, “By which way shall we march?” Jehoram answered, “By the way of the wilderness of Edom.”
3:9 “พระราชา แห่งอิสราเอลจึงเสด็จไปพร้อมกับพระราชาแห่งยูดาห์ และพระราชาแห่งเอโดม และเมื่อทั้งสามกษัตริย์เสด็จอ้อมไปได้เจ็ดวันแล้ว ก็หาน้ำให้กองทัพและให้สัตว์ที่มาด้วยไม่ได้”
(So the king of Israel went with the king of Judah and the king of Edom. And when they had made a circuitous march of seven days, there was no water for the army or for the animals that
followed them. )
3:10 “แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึงตรัสว่า “อนิจจาเอ๋ย พระยาห์เวห์ทรงเรียกสามกษัตริย์นี้มาเพื่อจะมอบไว้ในมือของ โมอับ”
(Then the king of Israel said, “Alas! The Lord has called these three kings to give them into the hand of Moab.” )
3:11 “แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ เพื่อเราจะให้เขาทูลถามพระยาห์เวห์หรือ?”แล้วข้าราชการคนหนึ่งของพระราชาอิสราเอลทูลว่า “เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่ พ่ะย่ะค่ะ เขาเคยเป็นคนรับใช้ ของเอลียาห์”
(And Jehoshaphat said, “Is there no prophet of the Lord here, through whom we may inquire of the Lord?” Then one of the king of Israel’s servants answered, “Elisha the son of Shaphat is here, who poured water on the hands of Elijah.” )
3:12 “และเยโฮชาฟัทตรัสว่า “พระวจนะของพระยาห์เวห์อยู่กับเขา” พระราชาแห่งอิสราเอล เยโฮชาฟัท และพระราชาแห่งเอโดมจึงเสด็จลงไปหาท่าน”
(And Jehoshaphat said, “The word of the Lord is with him.” So the king of Israel and Jehoshaphat and the king of Edom went down to him.)
3:13 “เอลีชา ทูลพระราชาแห่งอิสราเอลว่า “ข้าพระบาทมีอะไรเกี่ยวข้องกับฝ่าพระบาทหรือ? เชิญเสด็จไปหาผู้เผยพระวจนะของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของ ฝ่าพระบาทเถิด” แต่พระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับท่านว่า “ไม่ไป
เพราะพระยาห์เวห์ทรงเรียกกษัตริย์ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบไว้ใน มือของโมอับ”
(And Elisha said to the king of Israel, “What have I to do with you? Go to the prophets of your father and to the prophets of your mother.” But the king of Israel said to him, “No; it is the Lord
who has called these three kings to give them into the hand of Moab.” )
3:14 “แล้วเอลีชาทูลว่า “พระยาห์เวห์จอมทัพซึ่งข้าพระบาทปรนนิบัติ ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าข้าพระบาทไม่ได้เคารพนับถือเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดา ห์แล้ว ข้าพระบาทจะไม่มองหรือแลดูพระองค์เลย”
(And Elisha said, “As the Lord of hosts lives, before whom I stand, were it not that I have regard for Jehoshaphat the king of Judah, I would neither look at you nor see you. )
3:15 “เวลานี้ ขอทรงนำผู้เล่นเครื่องสายมาให้ข้าพระบาทสักคนหนึ่ง” เมื่อผู้เล่นเครื่องสายบรรเลงแล้ว ฤทธานุภาพของพระยาห์เวห์ก็มาเหนือท่าน”
(But now bring me a musician.” And when the musician played, the hand of the Lord came upon him. )
3:16 “และท่านทูลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ทำหุบเขานี้ให้เต็มไปด้วยสระ’”
(And he said, “Thus says the Lord, ‘I will make this dry streambed full of pools.’ )
3:17 “เพราะ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าทั้งหลายจะไม่เห็นลมหรือฝน แต่หุบเขานั้นจะเต็มไปด้วยน้ำ เพื่อเจ้าจะได้ดื่ม ทั้งเจ้าเอง ฝูงปศุสัตว์ของเจ้า และสัตว์ใช้งานของเจ้า’”
(For thus says the Lord, ‘You shall not see wind or rain, but that streambed shall be filled with water, so that you shall drink, you, your livestock, and your animals.’ )
3:18 “เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และพระองค์จะทรงมอบคนโมอับไว้ในมือของพวกเจ้าด้วย”
(This is a light thing in the sight of the Lord. He will also give the Moabites into your hand, )
3:19 “พวกเจ้าจะโจมตีเมืองที่มีป้อมทุกเมือง และเมืองเอกทุกเมือง และจะโค่นต้นไม้ดีทุกต้น และจะอุดน้ำพุทุกแห่งเสีย และทำไร่นาดีทุกแปลงให้เสียไปด้วยหิน”
(and you shall attack every fortified city and every choice city, and shall fell every good tree and stop up all springs of water and ruin every good piece of land with stones.” )
3:20 “ต่อมาพอรุ่งเช้าประมาณเวลาถวายเครื่องบูชา นี่แน่ะ มีน้ำมาทางเมืองเอโดมจนแผ่นดินเต็มไปด้วยน้ำ”
(The next morning, about the time of offering the sacrifice, behold, water came from the direction of Edom, till the country was filled with water.)
3:21 “และเมื่อคนโมอับทั้งหมดได้ยินว่าบรรดาพระราชายกขึ้นมารบกับ ตน พวกเขาก็รวบรวมทุกคนที่สวมเกราะได้ ทั้งหนุ่มและแก่ และให้ไปตั้งรับที่พรมแดน”
(When all the Moabites heard that the kings had come up to fight against them, all who were able to put on armor, from the youngest to the oldest, were called out and were drawn up at the
border. )
3:22 “เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นตอนเช้าตรู่ ดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่บนน้ำ คนโมอับเห็นน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับตนแดงเหมือน เลือด”
(And when they rose early in the morning and the sun shone on the water, the Moabites saw the water opposite them as red as blood. )
3:23 “พวกเขาพูดว่า “นี่เป็นเลือด บรรดาพระราชาสู้รบกันแน่ๆ และฆ่ากันเอง โมอับเอ๋ย เวลานี้มาเถิด มาริบเอาข้าวของของเขา”
(And they said, “This is blood; the kings have surely fought together and struck one another down. Now then, Moab, to the spoil!” )
3:24 “แต่เมื่อคนโมอับมาถึงค่ายอิสราเอล คนอิสราเอลก็ลุกขึ้นต่อสู้กับพวกเขาจนเขาทั้งหลายหนีไป แล้วคนอิสราเอลรุกหน้าเข้าไปในแผ่นดินได้ฆ่าฟันคนโมอับ”
(But when they came to the camp of Israel, the Israelites rose and struck the Moabites, till they fled before them. And they went forward, striking the Moabites as they went. )
3:25 “พวกเขา ได้ทลายเมืองต่างๆ และแต่ละคนโยนหินเข้าไปในไร่นาที่ดีทุกแปลง เขาอุดน้ำพุเสียทุกแห่ง และโค่นต้นไม้ดีๆ เสียหมด จนที่สุดก็เหลือแต่เมืองคีร์หะเรเซทเท่านั้น บรรดานักสลิงได้ล้อมเมืองไว้และโจมตีได้”
(And they overthrew the cities, and on every good piece of land every man threw a stone until it was covered. They stopped every spring of water and felled all the good trees, till only its stones were left in Kir-hareseth, and the slingers surrounded and attacked it.)
3:26 “เมื่อพระราชาแห่งโมอับทรงเห็นว่าจะสู้ไม่ได้ ก็ทรงพาพลดาบ 700 คนตีฝ่าออกมาทางด้านพระราชาแห่งเอโดม แต่ออกมาไม่ได้”
(When the king of Moab saw that the battle was going against him, he took with him 700 swordsmen to break through, opposite the king of Edom, but they could not. )
3:27 “แล้วพระองค์ทรงนำพระราชโอรสหัวปี ผู้ควรจะขึ้นครองราชย์แทนนั้น ถวายเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่บนกำแพง และมีพระพิโรธใหญ่ยิ่งต่อพวกอิสราเอล เขาทั้งหลายก็ยกถอยไปจากพระองค์และกลับบ้านเมืองของ ตน”
(Then he took his oldest son who was to reign in his place and offered him for a burnt offering on the wall. And there came great wrath against Israel. And they withdrew from him and returned
to their own land.)
ข้อมูลมีประโยชน์
3:1 “โยรัม” (Jehoram) หรืออีกชื่อว่า เยโฮรัม = โอรสของอาหับ
“ทรงครองอิสราเอล” (over Israel) = ขึ้นเป็นกษัตริย์ในปีที่ 18 ของรัชกาลของเยโฮชาฟัท พระราชาของยูดาห์ –1:17
“ครองราชย์อยู่ 12 ปี” (twelve years) = ปี 852 -841 ก.ค.ศ
3:2 “แต่ไม่ทรงเหมือนพระราชบิดา และพระราชมารดา” ( not like his father and mother) = ทำชั่วยังไม่ถึงขนาดที่อาหับและเยเซเบลได้กระทำ (1พกษ.16:30-34;1พกษ.18:4;19:1-2;21:7-15)
“รื้อเสาศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัล” (put away the pillar of Baal) = เสาที่อาหับได้สร้างไว้เป็นตัวแทนของพระบาอัล (1พกษ.14:23) เพื่อเยเซเบล (1พกษ.16:32-33) (ต่อมาหินนี้ถูกนำกลับมาตั้งที่เดิมในภายหลัง)
3:3 “บาปทั้งหมายของเยโรโบอัม” ( sin of Jeroboam) = บาปที่นำคนอิสราเอลให้ทำบาปตามและทิ้ง พระเจ้า –1พกษ.14:16
3:4 “เมชาพระราชาแห่งโมอับ” (Mesha king of Moab) -เป็นกษัตริย์แห่งโมอับที่บันทึกว่า ในรัชกาล “บุตร” ของอมรีหรือแท้จริงหมายถึง “หลาน” คือโยรัม ไม่ใช่อาหับ และอ้างว่า โมอับสามารถปลดปล่อยดินแดนแถบเมเคบาจากการควบคุมของอิสราเอลได้ (1:1)
“ลูกแกะ 100,000 ตัว และขนแกะผู้ 100,000 ตัว” (100,000 lambs and the wool of 100,000 rams) = บรรณาการประจำปีจำนวนมหาศาลที่เมชาแห่งโมอับต้องส่งให้กับอิสราเอลในฐานะเมืองขึ้น(อสย.16:1)
3:5 “กบฏต่อพระราชาแห่งอิสราเอล” (rebelled against the king of Israel) = เมื่ออาหับสิ้นพระชนม์พระราชาแห่งโมอับกบฏต่ออิสราเอล
3:7 “ท่านจะไปรบกับโมอับพร้อมกับข้าพเจ้าหรือไม่?” (Will you go with me to battle against Moab?) = โยรัมปรารถนาที่จะโจมตีโมอับตลบหลัง (ข.8) แต่กองทัพของเขาต้องผ่านยูดาห์
“ข้าพเจ้าจะไป” (I will go) –เยโฮชาฟัทตอบรับที่จะร่วมมือกับโยรัมทั้ง ๆ ที่ท่านถูกผู้เผยพระวจนะของ พระเจ้ากล่าวโทษมาแล้ว (1พกษ.22:4) เมื่อคราวเป็นพันธมิตรกับอิสราเอล ทั้งในสมัยของอาหับ (2พศด.18:1;19:1-2) และสมัยของอาหัสยาห์ (2พศด.20:35-37)
-แต่เยโฮชาฟัทก็ยังกลับตกลงร่วมมือกับโยรัมอีก ท่านคงกังวลว่า โมอับกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ (2พศด.20) และอาจคิดว่า โยรัมนั้นชั่วร้ายน้อยกว่ากษัตริย์อิสราเอลที่ผ่านมา (ข.2)
3:8 “ไปทางถิ่นทุรกันดารเอโดม” (By the way of the wilderness of Edom.) = หากใช้เส้นทางนี้กองทัพอิสราเอลและยูดาห์ต้องเดินทางอ้อมลงไปทางใต้ของทะเลตายเพื่อหลีกเลี่ยงป้อมปราการด่านหน้าทางตอนเหนือของโมอับ และไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้านหลังของซีเรีย (อารัม) และเอโดมซึ่งเป็นเมืองขึ้นของยูดาห์ ในขณะนั้นคงจำต้องให้อิสราเอลเคลื่อนทัพผ่านเขตแดนของตน
3:9 “พระราชาแห่งเอโดม” ( king of Edom) = แท้จริงเป็นผู้สำเร็จราชการที่เยโฮชาฟัทแต่งตั้ง (8:20;1พกษ.22:47)
3:11 “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์…หรือ?” (Is there no prophet of the Lord here,…?)
– 1พกษ.22:7, หลังจากแผนการของกษัตริย์ทั้ง 3 ล้มเหลว พวกเขาจึงหันมาแสวงหา(พระวจนะของ) พระเจ้า (ข.12)
“เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่” (Elisha the son of Shaphat is here) -เอลีชาอาจเดินทางร่วมกับกองทัพนี้ในฐานะที่เป็นตัวแทนของเอลียาห์ (ผู้ชรา) เอลียาห์ส่งจดหมายไปถึงเยโฮรัมบุตรเยโฮชาฟัท หลังจากบิดาของท่านเสียชีวิตใน –2พศด.21:12-15
3:13 “เชิญเสด็จไปหาผู้เผยพระวจนะของเสด็จพ่อเสด็จแม่ของฝ่าพระบาทเถิด” (Go to the prophets of your father and to the prophets of your mother.) –1พกษ.22:6
3:14 “ถ้าข้าพระบาทไม่ได้เคารพนับถือเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์แล้ว ข้าพระบาทจะไม่มองหรือแลดูพระองค์เลย”(were it not that I have regard for Jehoshaphat the king of Judah, I would neither look at you nor see you) = โยรัมได้รับพระพรแห่งพระวจนะของพระเจ้าเพียงเพราะเขาเกี่ยวข้องกับเยโฮชาฟัท
3:15 “ขอทรงนำผู้เล่นเครื่องสายมาให้ข้าพระบาทสักคนหนึ่ง” (bring me a musician ) = “ให้ไปหานักเล่นพิษมาคนหนึ่ง” เพื่อเตรียมใจและสภาพแวดล้อมให้พร้อมรับฟังพระวจนะของพระเจ้า
“ฤทธานุภาพของพระยาห์เวห์”( the hand of the Lord) = พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า (อสค.1:3; ยรม.15:17)
3:16 “ทำหุบเขานี้ให้เต็มไปด้วยสระ” (make this valley full of ditches) = กองทัพอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ในหุบเขากว้าง (อาราบาห์) ระหว่างที่ราบสูงโมอับทางตะวันออกและที่ราบสูงยูดาห์ทางตะวันตกอยู่ทางใต้ของทะเลตาย
3:17 “หุบเขานั้นจะเต็มไปด้วยน้ำ”( valley shall be filled with water ) = พระวจนะของพระเจ้าประกอบไปด้วยคำสั่งและพระสัญญาที่พระเจ้าประทานให้แก่ชนชาติของพระองค์ด้วยพระเมตตา ซึ่งพวกเขาต้องตอบสนองด้วยความเชื่อและการเชื่อฟัง (ข.16)
3:19 “จะโค่น…จะอุด…” (shall fell … and stop up…) = กองทัพของทั้ง 2 จะทำลายล้างโมอับที่กบฏ
3:20 “ประมาณเวลาถวายเครื่องบูชา” (the meat offering was offered) –อพย.29:38-39;กดว.28:3-4
“มีน้ำมาทางเมืองเอโดม” (there came water by the way of Edom) = น้ำท่วมฉับพลันบนภูเขาเอโดมที่อยู่ไกลออกไป ทำให้น้ำไหลขึ้นไปทางเหนือผ่านหุบเขากว้าง(พื้นที่แห้ง) เพื่อลงสู่ทะเลตาย (ข.16)
3:23 “บรรดาพระราชาสู้รบกันแน่ ๆ ” (the kings have surely fought together) = ชาวโมอับคิดไปเองว่าคงเกิดความขัดแย้งในท่ามกลางพันธมิตรจนสู้รบฆ่ากันเลือดนองแผ่นดินเพราะพวกเขาเคยมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกันมาก่อน
3:25 “เมืองคีร์หะเรเซท” (Kir-hareseth) = เมืองหลวงของโมอับ (อสย.16:7,11;ยรม.48:31,36)
= เมืองเครากในปัจจุบันตั้งอยู่ประมาณ 18 กิโลเมตรทางตะวันออกของทะเลตาย และประมาณ 24 กิโลเมตรทางใต้ของแม่น้ำอารโนน
3:26 “ตีฝ่าออกมาทางด้านพระราชาแห่งเอโดม” (to break through opposite the king of Edom) =กษัตริย์ โมอับพยายามเอาตัวรอดโดยมุ่งฝ่าเอโดม แต่ไปไม่รอด
3:27 “ถวายเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่บนกำแพง” (offered him for a burnt offering on the wall) = กษัตริย์เมชานำบุตรชายหัวปีซึ่งเป็นรัชทายาทไปบูชายัญ (16:3;ยรม.7:31) มาถวายแด่พระเคโมช (1พกษ.11:7;กดว.21:29;ยรม.48:46) เพื่อขอให้มาช่วยเหลือ
“มีพระพิโรธใหญ่ยิ่งต่อพวกอิสราเอล” (there came great wrath against Israel) = ในบางฉบับแปลว่า “พวกเขาคั่งแค้นอิสราเอลยิ่งนัก” = ดังนั้น ในตอนนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับพระเคโมช เพราะไม่ใช่พระเจ้าที่แท้จริง (1พกษ.11:7) และไม่น่าจะเกี่ยวกับพระเจ้าแท้ (พระยาห์เวห์) เพราะพระองค์คงไม่กระทำสิ่งใดในนามของพระเคโมช หลังจากที่มีการบูชายัญถวายเช่นนั้น (2พกษ.16:3;17:17;21:6) แต่น่าจะมาจากความโกรธแค้นของประชาชน (5:11;13:19) ที่ถูกปลุกเร้าให้ลุกขึ้นมาต่อสู้แบบถวายหัวจนนำชัยชนะกลับมาให้พวกเขาเอง
คำถามนำอภิปราย
- เวลานี้มีสิ่งใดบ้างที่คุณกำลังกระทำอยู่ที่พระเจ้าถือว่าเป็นสิ่งที่ “ชั่ว” ในสายพระเนตรของพระองค์? หรือเป็นสิ่งที่คนในคริสตจักรกำลังกระทำอยู่? คุณจะจัดการกับมันอย่างไร? ทำไม?
- คุณเคยก่อการกบฎหรือต่อต้านบุคคลใดหรือองค์กรใดบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไรและทำไม?
- เคยมีใครก่อการต่อต้าน(กบฏ)ต่อคุณ คริสตจักรหรือองค์กรที่คุณดูแลอยู่บ้างหรือไม่? ผลเป็นอย่างไร?
- เคยมีใครชวนคุณร่วมมือหรือเป็นพันธมิตรกับเขา ในการจัดการ/เล่นงานกับคนอื่นบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วคุณร่วมมือหรือไม่ ผลเป็นอย่างไร?
- คุณเคยกระทำอะไร (เรื่องสำคัญ) ไปโดยไม่ปรึกษาพระเจ้าบ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร?
- คุณเคยปรึกษากับคนของพระเจ้าหรือพระวจนะของพระเจ้าก่อนรับปากหรือลงมือปฏิบัติกิจใด ๆ ที่ทำให้คุณมั่นใจก่อนที่คุณจะ
1) รับปากกระทำ หรือ
2) กล้าปฏิเสธไม่กระทำบ้างหรือไม่? อย่างไร? และผลที่เกิดเป็นอย่างไรบ้าง?
7. คุณเคยมีประสบการณ์กับการทรงนำหรือการช่วยเหลือจากพระเจ้าที่เหนือธรรมชาติบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และอย่างไร?
8. คุณเคยเป็น “ปากเสียง”ของพระเจ้าในการประกาศและนำคนให้ปฏิบัติตามพระประสงค์/พระวจนะของพระองค์บ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และอย่างไร?
9. คุณเคยสูญเสียความสำเร็จหรือชัยชนะไปในตอนบั้นปลายบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และอย่างไร? และมีบทเรียนอะไรสอนใจคุณบ้าง?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์