“ปราศจากการสื่อสาร ก็ไม่เหลือซึ่งความสัมพันธ์ ปราศจากการให้เกียรติ ก็ไม่เหลือซึ่งความรัก
ปราศจากการไว้วางใจ ก็ไม่เหลือเหตุผลใดที่จะไปด้วยกันอีกต่อไป!”
(Without communication, there is no relationship.
Without respect, there is no love. Without trust, there is no reason to continue.)
ชีวิตของคนเรามักจะต้องมาถึงจุดเปลี่ยน ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ เราต้องตัดสินใจว่า จะรับมือกับจุดเปลี่ยนนั้นอย่างไร?
ถ้าเรามีความสามารถปรับตัวเราก็จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ได้ไม่ยาก เพราะเราสามารถปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์ แต่หากว่าเราไม่อาจทนรับกับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ เราก็อาจต้องตัดสินใจให้เด็ด ขาดว่าเราจะสู้หรือจะถอย!
ปัจจัยที่ทำให้เราตัดสินใจถอยมักจะเริ่มต้นจากสภาวะของการปราศจากการสื่อสารที่ดี เพราะบางทีมีการสื่อสาร แต่ไม่ค่อยมีคุณภาพ นั่นคือ สื่อสารก็เหมือนไม่สื่อสาร ไม่มีการสื่อสารกันต่อหน้าอย่างตั้งใจให้รับรู้จริง ๆ ด้วยความจริงใจ หรือบางทีก็อาจอยู่ในอาการหลีกเลี่ยงการสื่อสารกันโดยตรง หรือไม่ก็มีการสื่อ สารทางเดียว แบบสั่งการหรือเรียกร้องโดยที่ไม่เปิดช่องให้มีการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจกันอย่างให้เกียรติ!
ผลที่ตามมาก็คือ….เมื่อปราศจากการสื่อสารที่ควรมี ความสัมพันธ์ที่เคยมีก็จบลง!
เมื่อปราศจากการให้เกียรติอย่างที่ควรเป็น ความรักที่เคยมีก็หมดสิ้นลง!
ผลจากการไม่สื่อสารและการไม่ให้เกียรติต่อกัน ทำให้มองอีกฝ่ายหนึ่งเป็นปรปักษ์ที่ไม่ชอบหรืออาจหนักหนาจนมองเขาเป็นศัตรูที่ต้องกำจัด! น้ำใจที่มีต่อกันก็หดหาย การร่วมมือที่เคยมีต่อกันก็อันตรธานไป!
รวมทั้งความไว้วางใจที่เคยมีต่อกันก็หมดสิ้นลง และเมื่อปราศจากความไว้วางใจทั้ง 2 ฝ่ายก็ไม่เหลือเหตุผลหรือแรงจูงใจใด ๆ ที่อยู่ด้วยกันต่อไป… การลาจากกันก็มักจะเกิดขึ้น!
มีคำถามว่า…แล้วมีหนทางใดบ้างที่พอจะยับยั้งหรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เช่นนี้ให้ดีขึ้นได้บ้างหรือไม่?
คำตอบก็คือ มีครับ!
คำถามว่า คืออะไร?
คำตอบก็คือ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องยอมจำนนต่อพระเจ้า และต่อกันและกัน!
ทั้งสองฝ่ายต้องเชื่อฟังและทำตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข
1.ทั้ง 2 ฝ่ายต้องตั้งเป้าที่จะถวายเกียรติพระเจ้าในทุกสิ่งที่คิด พูด และทำ
“เพราะฉะนั้นเมื่อพวกท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” (1คร.10:31)
2.ทั้ง 2 ฝ่ายต้องตั้งใจที่จะให้เกียรติแก่กันด้วยอาศัยความรักของพระเจ้า
“จงรักกันฉันพี่น้อง จงขวนขวายในการให้เกียรติกันและกัน” (รม.12:10)
3.ทั้ง 2 ฝ่ายต้องละวางความโกรธหรืออารมณ์ฉุนเฉียว และความขมขื่นที่มีต่อกันลงโดยเร็ว โดยไม่ให้โอกาสแก่มาร
“จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป” อย่าให้ถึงตะวันตกแล้วยังโกรธอยู่” (อฟ.4:26)
“จงเอาความขมขื่น ความฉุนเฉียว ความโกรธ การทุ่มเถียง การพูดจาดูหมิ่น รวมทั้งการร้ายทุกอย่าง ออกไปจากพวกท่าน” (อฟ.4:31)
4. ทั้ง 2 ฝ่ายต้องละทิ้งความเท็จ พูดความจริงต่อกันด้วยความรักอย่างสุภาพและเสริมสร้าง และพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น
“แต่ให้เรายึดถือความจริงด้วยความรัก เพื่อจะเจริญขึ้นในทุกด้านสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระ คริสต์ ดังนั้นจงละทิ้งความเท็จ “ให้พวกท่านแต่ละคนพูดความจริงกับเพื่อนบ้านของตน” เพราะเราต่างเป็นอวัยวะของกันและกัน” (อฟ.4:15,25)
“อย่าให้คำเลวร้ายออกจากปากของท่านทั้งหลาย แต่จงกล่าวคำดีๆ ที่เสริมสร้างและที่เหมาะกับ ความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยิน” (อฟ.4:29)
5. ทั้ง 2 ฝ่าย ต้องถ่อมใจขออภัยและรับอภัยจากกันและกันเหมือนอย่างที่พระคริสต์กระทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง
“แต่จงมีใจกรุณา ใจสงสาร และใจให้อภัยแก่กันและกัน เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงให้อภัยพวกท่านในพระคริสต์” (อฟ.4:32)
หากทั้งสองฝ่ายกระทำดังนี้ด้วยความจริงใจผ่านการสื่อสารอย่างให้เกียรติ และรื้อฟื้นความไว้ วางใจต่อกันให้เกิดขึ้นมาใหม่โดยเร็ว ทั้งสองฝ่ายก็จะไม่เหลือเหตุผลอันใดที่จะก้าวจากกันไป อีกเลย…!
…จริงไหมครับ?
ธงชัย ประดับชนานุรัตน์–
twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/ lifeanswer,