บทสุดท้ายใน 1 พงศ์กษัตริย์
พระธรรม 1พงศ์กษัตริย์ 22:1-53
อ้างอิง 1พกษ.8:61;9:26;14:12;15:26;13:18;20:30;21:19,25;22:13,24;2พกษ.3:7-11;5:8;9:24;1พศด.16:10; 2พศด.9:17;17:3;35:23
บทนำ เราควรเชื่อฟังกระทำตามพระทัยของพระเจ้ามากกว่าตามใจของผู้หนึ่งผู้ใด (ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือหุ้นส่วนของเรา) เพราะหากว่าเราไม่สำนึกตัว แต่ก้าวเดินตามความคิดหรือข้อเสนอของผู้หนึ่งผู้ใดที่ไม่ได้เดินตามพระทัยของพระเจ้า ผลเสียและผลร้ายก็อาจจะเกิดขึ้นกับเราและทุกคนที่อยู่กับเรา!
บทเรียน
22:1 “ซีเรียกับอิสราเอลไม่มีสงครามกันอยู่ 3 ปี”
(For three years Syria and Israel continued without war. )
22:2 “แต่ในปีที่สาม เยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์เสด็จลงไปเฝ้าพระราชาแห่งอิสราเอล”
(But in the third year Jehoshaphat the king of Judah came down to the king of Israel. )
22:3 “และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสถามพวกข้าราชการของพระองค์ว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่า ราโมทกิเลอาดเป็นของพวกเรา และพวกเรา ยังจะนิ่งอยู่ ไม่ยึดคืนจากมือของกษัตริย์แห่งซีเรียหรือ?”
(And the king of Israel said to his servants, “Do you know that Ramoth-gilead belongs to us, and we keep quiet and do not take it out of the hand of the king of Syria?”)
22:4 “และพระองค์ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะยกไปทำศึกที่ราโมทกิเลอาดกับข้าพเจ้าหรือไม่?” และเยโฮชาฟัทตรัสตอบพระราชาแห่งอิสราเอลว่า“ข้าพเจ้ากับท่านเป็นเหมือนคนเดียวกันประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นประชาชนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เป็นม้าของท่าน”
(And he said to Jehoshaphat, “Will you go with me to battle at Ramoth-gilead?” And Jehoshaphat said to the king of Israel, “I am as you are, my people as your people, my horses as your horses.” )
22:5 “และเยโฮชาฟัทตรัสกับพระราชาแห่งอิสราเอลว่า “ขอทูลถามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ก่อน”
(And Jehoshaphat said to the king of Israel, “Inquire first for the word of the Lord.” )
22:6 “แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลก็ทรงเรียกประชุมพวกผู้เผยพระวจนะ ประมาณ 400 คน ตรัสกับพวกเขาว่า“ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือไม่? หรือเราควรล้มเลิก?”และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า“ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเถิด เพราะพระเจ้าจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา”
(Then the king of Israel gathered the prophets together, about four hundred men, and said to them, “Shall I go to battle against Ramoth-gilead, or shall I refrain?”And they said,”Go up, for the Lord will give it into the hand of the king.” )
22:7 “แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์อีกแล้วหรือ ที่เราจะถามได้?”
(But Jehoshaphat said, “Is there not here another prophet of the Lord of whom we may inquire?”)
22:8 “และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีชายอีกคนหนึ่งซึ่งเราจะให้ทูลถามพระยาห์เวห์ได้ คือมีคายาห์บุตรอิมลาห์แต่เราเองเกลียดชังเขา เพราะเขาพยากรณ์แต่เรื่องร้าย ไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย” แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ขอพระราชาอย่าตรัสอย่างนั้นเลย”
(And the king of Israel said to Jehoshaphat,”There is yet one man by whom we may inquire of the Lord, Micaiah the son of Imlah, but I hate him, for he never prophesies good concerning me, but evil.” And Jehoshaphat said, “Let not the king say so.” )
22:9 “แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่ง และตรัสสั่งว่า “จงรีบไปพามีคายาห์บุตรอิมลาห์มา”
(Then the king of Israel summoned an officer and said, “Bring quickly Micaiah the son of Imlah.” )
22:10 “พระราชา แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ต่างประทับบน พระที่นั่ง ทรงฉลองพระองค์เยี่ยงกษัตริย์ ณ ลานนวดข้าวตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็พยากรณ์เฉพาะพระพักตร์ทั้งสองพระองค์”
(Now the king of Israel and Jehoshaphat the king of Judah were sitting on their thrones, arrayedin their robes, at the threshing floor at the entrance of the gate of Samaria, and all the prophets were prophesying before them. )
22:11 “และเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์จึงทำเขาสัตว์ด้วยเหล็ก แล้วพูดว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ด้วยสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะผลักคนซีเรียไปจนพวกเขาย่อยยับ’”
(And Zedekiah the son of Chenaanah made for himself horns of iron and said, “Thus says the Lord, “With these you shall push the Syrians until they are destroyed.” )
22:12 “และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็พยากรณ์อย่างนั้นทูลว่า “ขอเสด็จไปราโมทกิเลอาดเถิด และมีชัยชนะ เพราะพระยาห์เวห์จะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา”
(And all the prophets prophesied so and said, “Go up to Ramoth-gilead and triumph; the Lord will give it into the hand of the king.” )
22:13 “และผู้สื่อสารที่ไปเรียกมีคายาห์ได้บอกท่านว่า “นี่แน่ะ ถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะก็พูดสิ่งที่เป็นมงคลแก่พระราชาเป็นเสียงเดียวกันขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้นและพูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล”
(And the messenger who went to summon Micaiah said to him, “Behold, the words of the prophets with one accord are favorable to the king. Let your word be like the word of one of them, and speak favorably.”
22:14 “แต่มีคายาห์ตอบว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่อย่างไร พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น”
(But Micaiah said, “As the Lord lives, what the Lord says to me, that I will speak.” )
22:15 “และเมื่อท่านมาเฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามท่านว่า “มีคายาห์ ควรที่พวกเราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือไม่?หรือพวกเราควรล้มเลิก?” และท่านทูลตอบพระองค์ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไป และมีชัยชนะ พระยาห์เวห์จะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา”
(And when he had come to the king, the king said to him, “Micaiah, shall we go to Ramoth-gilead to battle, or shall we refrain?” And he answered him, “Go up and triumph; the Lord will give it into the hand of the king.”)
22:16 “แต่พระราชาตรัสกับท่านว่า “เราได้ให้เจ้าปฏิญาณกี่ครั้งแล้วว่า เจ้าจะพูดกับเราแต่ความจริงในพระนามของพระยาห์เวห์”
(But the king said to him, “How many times shall I make you swear that you speak to me nothing but the truth in the name of the Lord?” )
22:17 “และท่านก็ทูลว่า “ข้าพระบาทได้เห็นคนอิสราเอลทั้งหมดกระจัดกระจายอยู่บนภูเขาเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยงและพระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้พวกเขาต่างกลับไปยังบ้านของตนโดยสวัสดิภาพเถิด’”
(And he said, “I saw all Israel scattered on the mountains, as sheep that have no shepherd. And the Lord said, “These have no master; let each return to his home in peace.” )
22:18 “พระราชาแห่งอิสราเอลจึงตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า เขาจะไม่พยากรณ์เรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย มีแต่เรื่องร้ายเท่านั้น?”
(And the king of Israel said to Jehoshaphat,”Did I not tell you that he would not prophesy good concerning me, but evil?” )
22:19 “และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้น ขอทรงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ ข้าพระบาทได้เห็นพระยาห์เวห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์และบริวารทั้งหมดแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆ พระองค์ ทั้งทางข้างขวาและข้างซ้ายพระหัตถ์”
(And Micaiah said, “Therefore hear the word of the Lord: I saw the Lord sitting on his throne, and all the host of heaven standing beside him on his right hand and on his left; )
22:20 “และพระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘ใครจะชักนำอาหับให้ขึ้นไป และล้มลงที่ราโมทกิเลอาด?’ บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น”
(and the Lord said, “Who will entice Ahab, that he may go up and fall at Ramoth-gilead?” And one said one thing, and another said another.)
22:21 “แล้วมีวิญญาณหนึ่งออกมายืนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ทูลว่า ‘ข้าพระองค์เองจะชักนำเขา’ และพระยาห์เวห์ตรัสกับมันว่า จะทำอย่างไร?’”
(Then a spirit came forward and stood before the Lord, saying, “I will entice him.”)
22:22 “และมันทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะออกไป และจะเป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของ เขา’ และพระองค์ตรัสว่า‘เจ้าไปชักนำเขาได้ และเจ้าจะทำสำเร็จ จงไปทำตามนั้นเถิด’”
(And the Lord said to him, “By what means?” And he said, “I will go out, and will be a lying spirit in the mouth of all his prophets.” And he said, “You are to entice him, and you shall succeed;go out and do so.” )
22:23 “ฉะนั้นดูสิพระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหมด นี้ของฝ่าพระบาทพระยาห์เวห์ได้ตรัสเรื่องร้ายเกี่ยวกับฝ่าพระบาท”
(Now therefore behold, the Lord has put a lying spirit in the mouth of all these your prophets; the Lord has declared disaster for you.” )
22:24 “แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์เข้ามาใกล้และตบแก้มมีคายาห์พูดว่า“พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไปจากข้าพูดกับเจ้าได้อย่างไร?”
(Then Zedekiah the son of Chenaanah came near and struck Micaiah on the cheek and said, “How did the Spirit of the Lord go from me to speak to you?” )
22:25 “และมีคายาห์ตอบว่า “นี่แน่ะ เจ้าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใน”
(And Micaiah said, “Behold, you shall see on that day when you go into an inner chamber to hide yourself.” )
22:26 “และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสว่า “จงจับมีคายาห์แล้วส่งเขากลับไปให้อาโมนผู้ว่าราชการเมือง และโยอาชพระราชโอรส”
(And the king of Israel said, “Seize Micaiah, and take him back to Amon the governor of the city and to Joash the king’s son,)
22:27 “และบอกว่า‘พระราชาตรัสดังนี้ว่า“เอาคนนี้ไปจำคุกไว้ ให้อาหารกับน้ำอย่างจำกัด จนกว่าเราจะมาโดยสวัสดิภาพ””
(and say,”Thus says the king, “Put this fellow in prison and feed him meager rations of bread and water, until I come in peace.”” )
22:28 “และมีคายาห์ทูลว่า “ถ้าฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพได้จริงๆ พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ตรัสผ่านข้าพระบาท” และท่านกล่าวว่า “ประชาชนทั้งสิ้นเอ๋ย จงฟังเถิด”
(And Micaiah said, “If you return in peace, the Lord has not spoken by me.” And he said, “Hear, all you peoples!” )
22:29 “พระราชาแห่งอิสราเอลกับเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์จึงเสด็จขึ้นไปยังราโมทกิเลอาด”
(So the king of Israel and Jehoshaphat the king of Judah went up to Ramoth-gilead. )
22:30 “และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าทำศึก แต่ท่านจงสวมเครื่องทรงของท่าน” และพระราชาแห่งอิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์เข้าทำศึก”
(And the king of Israel said to Jehoshaphat, “I will disguise myself and go into battle, but you wear your robes.” And the king of Israel disguised himself and went into battle. )
22:31 “พระราชา แห่งซีเรียทรงบัญชาบรรดาแม่ทัพรถรบของพระองค์ทั้ง 32 คนว่า “อย่ารบกับทหารใหญ่น้อย แต่มุ่งเฉพาะพระราชาแห่งอิสราเอล”
(Now the king of Syria had commanded the thirty-two captains of his chariots, “Fight with neither small nor great, but only with the king of Israel.” )
22:32 “เมื่อบรรดาแม่ทัพรถรบเห็นเยโฮชาฟัท เขาทั้งหลายก็ว่า “เป็นพระราชาอิสราเอลแน่แล้ว” พวกเขาจึงหันไปสู้รบกับพระองค์ และเยโฮชาฟัททรงร้องขึ้น”
(And when the captains of the chariots saw Jehoshaphat, they said, “It is surely the king of Israel.” So they turned to fight against him. And Jehoshaphat cried out. )
22:33 “เมื่อบรรดาแม่ทัพรถรบเห็นว่าไม่ใช่พระราชาอิสราเอล ก็หันรถกลับ ไม่ไล่ตามพระองค์”
(And when the captains of the chariots saw that it was not the king of Israel, they turned back from pursuing him. )
22:34 “แต่มีชายคนหนึ่งโก่งธนูยิงสุ่มไปถูกพระราชาแห่งอิสราเอลเข้า ระหว่างเกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระ พระองค์จึงรับสั่งคนขับรถรบว่า “หันกลับเถอะ พาเราออกจากการรบ เพราะเราบาดเจ็บแล้ว”
(But a certain man drew his bow at random and struck the king of Israel between the scale armor and the breastplate. Therefore he said to the driver of his chariot, “Turn around and carry me out of the battle, for I am wounded.” )
22:35 “วันนั้นการรบก็ดุเดือดขึ้น เขาก็พยุงพระราชาขึ้นในรถรบ ให้หันพระพักตร์ไปทางพวกซีเรีย จนเวลาเย็นพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ และพระโลหิตที่บาดแผลก็ไหลออกนองทั่วท้องรถรบ”
(And the battle continued that day, and the king was propped up in his chariot facing the Syrians, until at evening he died. And the blood of the wound flowed into the bottom of the chariot. )
22:36 “ประมาณเวลาดวงอาทิตย์ตก มีเสียงร้องทั่วกองทัพว่า “ให้ทุกคนกลับไปเมืองของตัว และภูมิลำเนาของตัว”
(And about sunset a cry went through the army, “Every man to his city, and every man to his country!”)
22:37 “เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์แล้ว เขาก็นำมายังกรุงสะมาเรีย และเขาฝังพระราชาในกรุงสะมาเรีย”
(So the king died, and was brought to Samaria. And they buried the king in Samaria. )
22:38 “เขาล้างรถรบที่สระน้ำแห่งสะมาเรีย ที่ที่พวกหญิงโสเภณีลงอาบน้ำและแล้วพวกสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งได้ตรัสไว้”
(And they washed the chariot by the pool of Samaria, and the dogs licked up his blood, and the prostitutes washed themselves in it, according to the word of the Lord that he had spoken. )
22:39 “ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของอาหับ และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ และพระราชวังงาช้างซึ่งทรงสร้างไว้ ตลอดจนเมืองทั้งหมดที่ทรงสร้าง ได้บันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่ หรือ?”
(Now the rest of the acts of Ahab and all that he did, and the ivory house that he built and all the cities that he built, are they not written in the Book of the Chronicles of the Kings of Israel? )
22:40 “อาหับทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ แล้วอาหัสยาห์พระราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน”
(So Ahab slept with his fathers, and Ahaziah his son reigned in his place. )
22:41 “เยโฮชาฟัทพระราชโอรสของอาสาทรงครองยูดาห์ ในปีที่สี่แห่งรัชกาลอาหับพระราชาแห่งอิสราเอล”
(Jehoshaphat the son of Asa began to reign over Judah in the fourth year of Ahab king of Israel.)
22:42 “เยโฮชาฟัทมีพระชนม์ชนมายุ 35 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และพระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 25 “ปีพระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่า อาซูบาห์ บุตรหญิงของชิลหิ”
(Jehoshaphat was thirty-five years old when he began to reign, and he reigned twenty-five years in Jerusalem. His mother’s name was Azubah the daughter of Shilhi. )
22:43 “พระองค์ทรงดำเนินตามทางทั้งสิ้นของอาสาพระราชบิดาของพระองค์ และไม่ได้ทรงหันเหจากทางนั้น ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสาย พระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ปูชนียสถานสูงต่างๆ นั้นยังไม่ได้รื้อลง ประชาชนยังคงถวายเครื่องสัตวบูชา และเผาเครื่องหอมอยู่ บนปูชนียสถานสูงต่างๆ นั้น”
(He walked in all the way of Asa his father. He did not turn aside from it, doing what was right in the sight of the Lord.Yet the high places were not taken away,and the people still sacrificed and made offerings on the high places. )
22:44 “เยโฮชาฟัททรงทำไมตรีกับพระราชาแห่งอิสราเอลด้วย”
(Jehoshaphat also made peace with the king of Israel. )
22:45 “ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเยโฮชาฟัท และพระราชอำนาจที่ทรงสำแดง และสงครามที่ทรงกระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดาร กษัตริย์ แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ?”
(Now the rest of the acts of Jehoshaphat, and his might that he showed, and how he warred, are they not written in the Book of the Chronicles of the Kings of Judah? )
22:46 “ส่วนเทวทาสที่เหลืออยู่คือ ผู้ที่ยังเหลือในสมัยของอาสาพระราชบิดานั้น พระองค์ก็ทรงกำจัดเสียจากแผ่นดิน”
(And from the land he exterminated the remnant of the male cult prostitutes who remained in the days of his father Asa.)
22:47 “ไม่มีพระราชาในเอโดม แต่มีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินปกครองแทน”
(There was no king in Edom; a deputy was king. )
22:48 “เยโฮชาฟัททรงต่อเรือทารชิชหลายลำ เพื่อไปขนทองคำจากโอฟีร์ แต่ไปไม่ถึง เพราะเรือแตกเสียที่เอซีโอนเกเบอร์”
(Jehoshaphat made ships of Tarshish to go to Ophir for gold, but they did not go, for the ships were wrecked at Ezion-geber. )
22:49 “แล้วอาหัสยาห์พระราชโอรสของอาหับตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ขอให้ข้าราชการของข้าพเจ้านั่งเรือไปกับข้าราชการของท่าน” แต่เยโฮชาฟัทไม่ทรงยินยอม”
(Then Ahaziah the son of Ahab said to Jehoshaphat, “Let my servants go with your servants in the ships,” but Jehoshaphat was not willing. )
22:50 “เยโฮชาฟัททรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษในนครดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโฮรัมพระราชโอรสก็ขึ้นครองราชย์แทน”
(And Jehoshaphat slept with his fathers and was buried with his fathers in the city of David his father, and Jehoram his son reigned in his place. )
22:51 “อาหัสยาห์พระราชโอรสของอาหับทรงครองอิสราเอลในกรุงสะมาเรีย ในปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ และทรงครองอิสราเอล 2 ปี”
(Ahaziah the son of Ahab began to reign over Israel in Samaria in the seventeenth year of Jehoshaphat king of Judah, and he reigned two years over Israel. )
22:52 “พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และทรงดำเนินในทางของพระราชบิดาของพระองค์และในทางของพระมารดาของพระองค์ และในทางของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย”
(He did what was evil in the sight of the Lord and walked in the way of his father and in the way of his mother and in the way of Jeroboam the son of Nebat, who made Israel to sin. )
22:53 “พระองค์ทรงปรนนิบัติพระบาอัล และนมัสการพระนั้น และทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงพระพิโรธ โดยทำตามทุกอย่างที่พระราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำแล้วนั้น”
(He served Baal and worshiped him and provoked the Lord, the God of Israel, to anger in every way that his father had done. )
ข้อมูลมีประโยชน์
22:1 “ซีเรียกับอิสราเอลไม่มีสงครามกันอยู่ 3 ปี” (For three years Syria and Israel continued without war.)
= ว่างเว้นสงครามประมาณ 3 ปี (20:1) -ในจดหมายเหตุของอัสซีเรีย (ชัลมาเนเซอร์ที่ 3, 859-824 ก.ค.ศ) บันทึกว่า อาหับชาวอิสราเอล และฮาดัด เอเซอร์ (เบนฮาดัด) แห่งดามัสกัสได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับกษัตริย์ 12 องค์ ต่อสู้กองทัพอัสซีเรียที่คาร์คาร์ (บริเวณแม่น้ำโอรอนเทส) ในปี 853 ก.ค.ศ.
-ในจดหมายเหตุนั้นบันทึกว่า อาหับส่งรถรบ 2,000 คันและทหารราบ 10,000 คน เข้าร่วม (แต่คำกล่าวอ้างนั้นดูเกินจริง เพราะอัสซีเรียถอยทัพและไม่ได้รุกรานทางตะวันตกอีกจน 4-5 ปี หลังจากนั้น)
22:2 “เยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์…ไปเฝ้าพระราชาแห่งอิสราเอล” (Jehoshaphat the king of Judah came down to the king of Israel.) = อาจเพื่อแสดงความยินดีที่พันธมิตรฝั่งตะวันตกประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับอัสซีเรีย (ข.1,2พศด.18:2)
22:3 “ราโมทกิเลอาด” (Ramoth-gilead)= ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำยารมัคอีกฝากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน เป็นเมืองของอิสราเอลมาตั้งแต่สมัยของโมเสส (4:13;ฉธบ.4:43;ยชว.20:3)
“เป็นของพวกเรา” (belongs to us) -อิสราเอลสามารถอ้างสิทธิ์ในราโมทกิเลอาดได้ตามข้อตกลงกับเบนฮาดัดเมื่อไม่กี่ปีก่อน (20:34) แต่ดูเหมือนเบนฮาดัดจะไม่ได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้
22:4 “พระองค์ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า” (And he said to Jehoshaphat, )= อาหับตรัสขอเยโฮชาฟัทให้ไปร่วมรบเพื่อให้มั่นใจว่าจะชนะ , “เยโฮชาฟัท” มีความหมายว่า “พระยาห์เวห์ทรงพิพากษาตัดสิน”
-อาหับเพิ่งเป็นพันธมิตรกับพวกซีเรีย(อารัม) ในการต่อสู้กับพวกอัสซีเรีย แต่เมื่อหมดภัยจากอัสซีเรียแล้วอาหับกลับฉวยโอกาสยึดราโมทกิเลอาดคืนมาจากซีเรีย
“ข้าพเจ้ากับท่านเป็นเหมือนคนเดียวกัน” (I am as you are) = เยโฮชาฟัทมีนโยบายเป็นพันธมิตรกับอาหับ (อิสราเอลทางเหนือ) ซึ่งแตกต่างจากอาสาผู้เป็นบิดาซึ่งเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับซีเรียเพื่อต่อสู้กับบาอาชาพระราชาแห่งอิสราเอลทางเหนือ (15:17-23)
-ต่อมาภายหลังเยโฮชาฟัท ถูกกล่าวโทษโดยผู้เผยพระวจนะเยฮู(2พศด.19:2) เพราะเรื่องนี้
22:5 “ขอทูลถามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ก่อน” (Inquire first for the word of the Lord) –เยโฮชาฟัทลังเลที่จะดำเนินการตามแผนโดยไม่มีหลักประกันว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบ (1ซมอ.23:1-4;2ซมอ.2:1)
22:6 “ผู้เผยพระวจนะ” (the prophets) –ในที่นี้ผู้เผยพระวจนะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการนมัสการรูปเคารพที่เบธเอล (12:28-29)และมีหน้าที่กล่าวคำตามที่กษัตริย์พอใจ (อมส.7:10-13)
22:7 “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์อีกแล้วหรือ?” (Is there not here another prophet of the Lord of whom we may inquire? )
= เยโฮชาฟัทเห็นว่าผู้เผยพระวจนะ 400 คนนี้ เชื่อถือไม่ได้ (อสค.13:2-3) และขอปรึกษาผู้เผยพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้า
22:8 “ไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย” (never prophesies good concerning me) = อาหับตัดสินผู้เผยพระวจนะ โดยวัดจากถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะนั้นว่า น่าฟังหรือเข้าหูหรือไม่? (18:17;21:20)
22:10 “ลานนวดข้าว” (threshing floor ) = ภาพที่ผู้เขียนเสียดสีการวางแผนของกษัตริย์อาหับ และเยโฮชาฟัทที่ประทับ ณ ลานนวดข้าว ซึ่งฟ่อนข้าวถูกบด (มคา.4:12) และฝัดร่อน (ยรม.15:7) (ฉธบ.21:19;นรธ.4:1,11) ที่เปรียบกับภาพของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์กำลังประทับอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ เพื่อจัดการกับอาหับ ในข้อ 19-23
22:11 “เศเดคียาห์” (Zedekiah ) = เป็นตัวแทนของผู้เผยพระวจนะ 400 คน
“ทำเขาสัตว์ด้วยเหล็ก” ( horns of iron) = สัญลักษณ์แห่งกำลังอำนาจ ( ฉธบ.33:17)
22:13 “ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น” ( Let your word be like the word of one of them)
=คำแนะนำที่สะท้อนให้เห็นมุมมองของผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก
22:15 “เรา” (we) -คำว่า “เรา” ในข้อ 6 เป็นเอกพจน์ แต่ “เรา” ในข้อนี้เป็นพหูพจน์ ในตอนนี้รวมเอาเยโฮชาฟัทเข้าไปด้วยเพื่อหวังการตอบสนองที่ดี
“ขอเชิญเสด็จขึ้นไปและมีชัยชนะ” (Go up and triumph ) = มีคายาห์เหน็บแนมอาหับ โดยเลียนแบบการประจบสอพลอของบรรดาผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จทั้ง 400 คนนั้น (ข.12)
22:16 “เจ้าจะพูดกับเราแต่ความจริงในพระนามของพระยาห์เวห์” (you speak to me nothing but the truth in the name of the Lord?)
= มีคายาห์แสดงความไม่ใส่ใจออกมาอย่างโจ่งแจ้งจนอาหับสังเกตได้และกำชับให้ท่านบอกความจริงออกมา
22:17 “…เหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง…คนเหล่านี้ไม่มีนาย” (as sheep that have no shepherd… These have no master) –มีคาห์ใช้ภาพของแกะและคนเลี้ยงแกะ (กดว.27:16-17;ศคย.13:7;มธ.9:36;26:31)
-กล่าวถึงความตายของอาหับในการสู้รบที่จะมาถึง
22:19 “…ได้เห็นพระยาห์เวห์” (…I saw the Lord) =ผู้เผยพระวจนะที่แท้จริงในที่นี้ได้รับการเปิดเผยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสวรรค์ เขาจึงสามารถประกาศได้ด้วยความสัตย์จริงว่า พระเจ้าประสงค์จะทำสิ่งใด (อสย.6:1;ยรม.23:16-22)
= ทำให้เห็นความจริงอย่างชัดเจนว่า ฤทธิ์อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ใด และแสดงถึงความโง่เขลาจากการอวดอ้างของมนุษย์(อย่างอาหับ)
22:23 “พระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหมดนี้” (the Lord has put a lying spirit in the mouth of all these your prophets) = พระเจ้ามอบผู้เผยพระวจนะ 400 คนให้อยู่ใต้อำนาจของคำโกหก เพราะพวกเขาไม่รักความจริงและเลือกที่จะพูดคำโกหกนั้นด้วยความตั้งใจของตัวเอง (ยรม.14:4;23:16,26;อสค.13:2-3ก;2ซมอ.24:1;2ธส.2:9-12 ; ปท.1พกษ.2:11)
= อาหับพอใจใช้ชีวิตอยู่กับคำโกหก และเกลียดผู้เผยพระวจนะที่กล่าวความจริง จึงเหมาะที่ถูกพระเจ้านำไปสู่การประหาร เพราะคำโกหกที่เขาพร้อมจะเชื่อ (กดว.11:18-20;สดด.18:25-26;อสค.14:9)
22:24 “พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไปจากข้าพูดกับเจ้าได้อย่างไร”( the Spirit of the Lord go from me to speak to you?)
= คำถามที่เหน็บแนมของเศเดคียาห์ ได้ชี้ให้เห็นว่าผู้เผยพระวจนะทุกคนในพวกเขาล้วนโกหกพอ ๆ กัน
22:25 “เข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใน” (you go into an inner chamber to hide yourself.) = การที่สามารถบอก ถึงสถานที่ที่เศเดคียห์จะหนีไปหลบซ่อนตัว (ปท.20:30)เป็นการพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจของมีคายาห์ ในการเผยพระวจนะของพระเจ้า
22:26 “พระราชโอรส” (the king’s son ) คำว่า “พระราชโอรส” หรือ “บุตรของเรา” ในที่นี้อาจหมายถึงเจ้าหน้าที่ในพระราชวัง (ยรม.36:26)
22:27 “พระราชาตรัสดังนี้ว่า” (Thus says the king ) = อาหับออกคำสั่งต่อต้านผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า เพราะเขาเชื่อคำพูด(เท็จ) ที่ประกาศยืนยันโดยผู้เผยพระวจนะที่เขาจ้างไว้ (ข.11)
22:30 “พระราชาแห่งอิสราเอลตรัส”(the king of Israel said )=อาหับยังคิดว่าตัวเองควบคุมสถานการณ์ ได้
“เราจะปลอมตัวเข้าทำศึก” (I will disguise myself and go into battle) = อาหับคิดว่าวิธีนี้จะหันเหความสนใจ
ไปจากตัวเขา และลดโอกาสคำทำนายของมีคายาห์ที่จะเป็นจริงได้
= พระราชาผู้รักคำมุสาคิดว่าตัวเองจะสามารถหนีความจริงได้ด้วยการใช้ชีวิตและวิถีที่หลอกลวง
22:31 “แต่มุ่งเฉพาะพระราชาแห่งอิสราเอล” (but only with the king of Israel) = ในสมัยก่อนหากว่าฆ่าผู้นำหรือจับผู้นำได้ กองทัพก็จะสลายตัวไปเอง (ปท. ข.35-36)
22:34 “โก่งธนูยิงสุ่มไปถูกพระราชาแห่งอิสราเอลเข้า” (drew his bow at random and struck the king of Israel)
= ผู้ที่ยิงคือพระเจ้าแห่งสวรรค์
“คนขับรถรบ” (driver of his chariot) = ปกติบนรถรบมักจะมี 2 คนคือ ทหารที่ต่อสู้และพลขับ บางครั้งก็มี 3 คน แต่คนที่ 3 มักจะเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งบัญชาหน่วยรถรบ (9:22;2พกษ.9:25;อพย.14:7;15:4)
22:35 “จนเวลาเย็นพระองค์ก็สิ้นพระชนม์” (evening he died )= สำเร็จจริงตามคำพยากรณ์ของมีคายาห์ (ข้อ 17,28)
22:38 “ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งได้ตรัสไว้” (according to the word of the Lord that he had spoken )
= คำพยากรณ์ของเอลียาห์ที่เกี่ยวกับการตายของอาหับก็เป็นจริงส่วนหนึ่ง (21:19)
22:39 “พระราชวังงาช้างซึ่งทรงสร้างไว้” (the ivory house that he built )= มีการขุดซากเมืองสะมาเรียพบการฝังงาช้างในซากอาคารบางแห่ง(ที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ในประวัติศาสตร์อิสราเอล)
-การใช้งาช้างบ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในรัชกาลอาหับ
“เมืองทั้งหมดที่ทรงสร้าง”(all the cities that he built) = เมืองต่าง ๆ ที่เสริมปราการ ต่อมานักโบราณคดีได้พบหลักฐานว่า อาหับเสริมปราการที่เมกิดโดและฮาโชร์
“บันทึกในพงศาวดาร” (written in the Book of the Chronicles) -14:19
22:40 “ล่วงหลับไป” ( slept) -1:21 “อาหัสยาห์พระราชโอรส” (Ahaziah his son) = อาหัสยาห์ขึ้นครองราชย์แทนอาหับ (51-53;2พกษ.1)
22:41 “เยโฮชาฟัท” (Jehoshaphat) = ขึ้นครองราชย์ในยูดาห์ตรงกับปีที่ 4 ของรัชกาลกษัตริย์อาหับ (อ้างอิงถึงจุดเริ่มต้นการครองราชย์เพียงคนเดียวของเยโฮชาฟัท ในปี 869 ก.ค.ศ)
22:42 “ครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 25 ปี” (reigned twenty-five years in Jerusalem)= ปี 872-848 ก.ค.ศ.ระยะเวลาครองราชย์ทั้งหมดของเยโฮชาฟัทเริ่มตั้งแต่ปีที่ 39 ของกษัตริย์อาสาซึ่งท่านได้ปกครองร่วมกับบิดา (15:10;2พศด.16:12)
22:43 “แต่ปูชนียสถานสูงต่าง ๆ นั้นยังไม่ได้รื้อลง” (Yet the high places were not taken away)
= ยังไม่ได้ทำลายสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย (3:2;15:14)
22:44 “พระราชา” (the king) = หมายถึง กษัตริย์โดยรวมคือ ทั้งอาหับ อาหัสยาห์ และโยรัม ซึ่งทั้งหมดปกครองอาณาจักรเหนือในช่วงที่เยโฮชาฟัทปกครองอาณาจักรใต้ (ข.4)
22:45 “สงครามที่ทรงกระทำ” (how he warred) = วีรกรรมในการสงคราม (2พกษ.3; 2พศด.17:11;20)
“หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์”(the Book of the Chronicles of the Kings of Judah?) -14:29
22:46 “เทวทาส” (the male cult prostitutes) = โสเภณีชายในเทวสถาน -14:24
22:47 “ไม่มีพระราชาในเอโดม”(no king in Edom)= ถือว่า เอโดมเป็นเมืองขึ้นของยูดาห์(2ซมอ.8:14;2พกษ.8:20)
22:48 “โอฟีร์” (Ophir) -9:29 , “เรือแตกเสียที่เอซีโอนเกเบอร์” (or the ships were wrecked at Ezion-geber) -9:28;
พระเจ้าพิพากษาเยโฮชา ฟัทโดยทำให้กองเรือพาณิชย์ของท่านพินาศลง เพราะท่านเป็นพันธมิตรกับอาหัสยาห์พระราชาอิสราเอล(ทางเหลือ) –2พศด.20:35-37
22:50 “ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์” (slept with his fathers) -1:2
“เยโฮรัมพระราชโอรสขึ้นครองราชย์แทน” –ดูเรื่องรัชกาลเยโฮรัมได้ใน 2พกษ.8:16-24;2พศด.21
22:51 “ในปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเยโฮชาฟัท” (in the seventeenth year of Jehoshaphat king)
= ปี 853 ก.ค.ศ. (ข.41-42) , “2 ปี” (two years) –ปี 853-852 ก.ค.ศ. (2 พกษ.1:17)
22:52 “ในทางของพระราชบิดาของพระองค์และในทางของพระมารดาของพระองค์” (in the way of his father and in the way of his mother) -16:30-33; “ในทางของเยโรโบอัม” (in the way of Jeroboam) –12:28-33
คำถามนำอภิปราย
- คุณเคยถูกชวนให้กระทำบางอย่าง(ที่เป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวพันกับคนจำนวนมาก) และคุณรับปากกระทำโดยไม่ได้ปรึกษาพระเจ้า บ้างหรือไม่? อย่างไร?
- คุณเคยปรึกษาหรือรับคำแนะนำจากคนที่คุณคิดว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้าแต่แท้จริงไม่ใช่บ้างหรือไม่? ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?
- หากคุณต้องการขอคำปรึกษาหรือคำยืนยันในเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้าก่อนตัดสินใจ คุณจะไปหาใครที่คุณแน่ใจว่าเขาเป็นผู้แทนของพระเจ้าจริง ๆ ? ทำไมจึงมั่นใจเช่นนั้น?
- คุณกล้ายืนยันในการพูดหรือกล่าวความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่คนรอบตัวของคุณล้วนกล่าวตรงข้ามกับ
พระวจนะเหล่านั้นอยู่ และคนส่วนใหญ่ก็กำลังเชื่อคำพูดเหล่านั้นอยู่? ทำไม?
5. คุณเคยรู้สึกหงุดหงิดและโกรธใครบางคนที่ไม่พูดหรือสนองตอบต่อความคิดหรือความต้องการ(ที่ไม่ค่อยถูกต้อง) ของคุณบ้างหรือไม่? แล้วคุณทำอย่างไร? ทำไมทำเช่นนั้น? ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร?
6. คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่า พระเจ้าทรงทราบทุกอย่างและพระองค์กำลังบัญชาให้เหล่าทูตของพระองค์เตรียมตัวดำเนินการตามพระประสงค์เหล่านั้น (กับตัวคุณและคนที่เกี่ยวข้อง)?
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์